กรวดน้ำให้แม่กิน

           วันหนึ่งไอ้ทิดเคนกำลังนั่งดูลมหายใจตัวเองอยู่ แม่ส้มแป้ดหน้าตาตื่นเข้ามาเรียกด้วยเสียงเครียด   ไอ้ทิดเคน!!!  ไหนบอกแม่ส้มแป้ดหน่อยสิว่า  แม่ส้มแป้ดยังไม่ตายแต่ลูกสาวมันกรวดน้ำให้กิน  แม่ส้มแป้ดจะได้กินมั๊ย  ไอ้ทิดเคนเลยถามแม่ส้มแป้ดว่า  เป็นงัยมางัยลูกสาวจะกรวดน้ำให้กินล่ะแม่ส้มแป้ด
          แม่ส้มแป้ด เล่าว่าพอดีลูกสาวคนโตถูกหวย  ลูกสาวคนเล็กก็เลยโทรมาบอกแม่ส้มแป้ดว่าพี่สาวถูกหวย  แม่ส้มแป้ดก็โทรไปแสดงความยินดีกับลูกสาวคนโต  แต่ก็เผลอพูดออกไปคำหนึ่งว่า  ไม่แบ่งให้แม่บ้างเหรอ!!!!   ลูกสาวคนโตตอบว่า ลูกทำบุญทีรัยก็กรวดน้ำให้แม่กินทุกครั้ง!!!!  เวงกำ!!!!   แม่ส้มแป้ดก็เลยปรี้ดแตก "ฉันยังไม่ตาย แกจะมากรวดน้ำให้ฉันกินได้ยังงัย"  ก็เลยมาถามไอ้ทิดเคนนี่แหละว่าฉันจะได้กินมั๊ยที่ลูกสาวมันกรวดน้ำให้น่ะ
           ไอ้ทิดเคนฟังแล้ววังเวงใจ โอ...หนอ  ลูกในไส้ใยไม่มองเห็นความดีของผู้ให้กำเนิด  ที่ต้องอุ้มท้องมา 9  เดือน ต้องฟูมฟักเลี้ยงดูอีกมากมาย ก็เลยบอกแม่ส้มแป้ดไปว่า คราวหน้า  ก็บอกลูกสาวไปนะ "รู้งี้เวลาแกเกิดมาฉันกรวดน้ำให้แกกินซะก้อดี"

ไอ้ตัว.....อกตัญญู

ไอ้ตัว......อกตัญญู
        วันนี้ไปเจอแม่ส้มแป้ดกับแม่ส้มแป้นกำลังนั่งสนทนา
ธรรมกันอยู่  ตามปะสาคนวัยทอง 555++  เรื่องที่คุยก็ไม่มี
อะไรมากไปกว่าความชราของสังขาร  ที่ต้องเสื่อมไปเป็น
ธรรมดา  อายุมากเข้าก็มีอันต้องปวดตรงโน้นบ้างล่ะ  ต้อง
ปวดตรงนี้บ้างล่ะ  ปวดแล้วก็หาย หายแล้วก็ปวด  เป็นอยู่
อย่างนี้ ไอ้ทิดเคนก็เลยเล่าเรื่อง ไอ้ตัว....อกตัญญูให้แม่ส้ม
แป้ด กับแม่ส้มแป้นฟัง
        ไอ้ทิดเคนเล่าว่า  เดือนก่อนเพิ่งได้รู้จักไอ้ตัว....อกตัญญู

ตัวจริงเสียงจริง  เกิดมาในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะอกตัญญูเท่า
มันแล้ว  ก็มีอยู่วันหนึ่งไอ้ทิดเคนปวดท้องมาก  ไอ้ทิดเคนบอก
ให้ท้องมันหยุดปวด มันก็ไม่ยอมหยุด  ปวดหัวบอกให้มัน
หยุดปวดมันก็ไม่หยุด  ไอ้ทิดเคนเลยคิดได้ว่า โอหนอ....ไอ้
สังขารร่างกายของเรานี้  ตื่นเช้าขึ้นมาเราต้องปรนนิบัติ  ปรน
เปรอมันทุกอย่าง ตั้งแต่ล้างหน้าให้  แปรงฟันให้  หาข้าวหา
ปลาให้กิน  เวลาจะกินก็ต้องป้อน  จะถ่ายต้องพาไปถ่าย 
เวลาร้อนหาพัดลมเป่าให้  เวลาหนาวหาผ้าห่มให้ หาเสื้อผ้า
สวย ๆ ให้ใส่ หาร้องเท้าดี ๆ ให้ใส่  หาบ้านให้อยู่ หารูให้แหย่ 
ต้องลำบากทำงานหาเงินเลี้ยงดูทุกวันมิให้ขาด  เพราะขาด
ไม่ได้  มันเครียดทันที  แต่เวลาร่างกายมันปวดมันเมื่อย บอก
ให้มันหยุดปวดหยุดเมื่อยมันก็ไม่หยุด ทั้ง ๆ  ที่เราทำกิจการ
งานทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูมัน  หาครีมมาทากันเหี่ยวกันย่น  มัน
ก็เหี่ยวก็ย่น  ไม่เต่งไม่ตึงเหมือนวัยสาววัยหนุ่ม  แสดงว่า ไอ้
สังขารร่างกายนี้มันตัว...อกตัญญูสุด ๆ  ถ้ามันไม่มีประโยชน์
อะไรก็อยากจะทำลายมันเสีย  แต่ยังดีที่มันยังมีประโยชน์
อยู่บ้าง  เอาไว้ทำความดี  ช่วยเหลือเจือจานชาวบ้าน เอาไว้
ไหว้พระทำบุญ  แต่บางดีก็คิดหลงในร่างกายว่ามันเป็นของ
ดีของวิเศษ  ทั้ง ๆ ที่มันมีความทุกข์ความลำบาก  ไม่เข้าใจจริง
ๆ   รึแม่สมแป้ด  แม่ส้มแป้นคิดเห็นประการใด.......

จอ ATEC 19 นิ้ว ภาพหดด้านข้าง

           พรรคพวกเอาจอ ATEC 19 นิ้ว มาทิ้งให้เป็นเดือนแล้วยังไม่ได้ซ่อมให้เลย วันนี้ฤกษ์ดีเลยเอามาดูปรากฎว่าจอหดด้านข้าง ประมาณฝั่งละ 3 นิ้ว จากความรู้อันน้อยนิดคิดว่าน่าจะเป็นวงจร PWM คิดไปก่อนนะ 555++ บ่าย  ๆ ถึงจะลงมือซ่อม เด๋วบัคกรีวงจรไปก่อนละกัน ตัวเสียค่อยวัดทีหลัง  ใส่รูปวงจรไว้ให้ดูด้วย Copy มาจากเน็ตนะ ไม่รู้พี่ ๆ ท่านใดสงเคราะห์ไว้ ขอบคุณด้วยล่ะกัน 555++++

ลองฝึกมโนมยิทธิ

           หายจากBlog ไปนาน เนื่องจากไปศึกษาวิชามโนมยิทธิ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษีลิงดำ) ยังไม่ได้อะไรหรอก กะลังศึกษาอยู่ใครสนใจก้อลองฝึกได้ ใครที่ยังสงสัยสวรรค์ นรก นิพพาน มีจริงหรือไม่ เชิญพิสูจน์ได้  หรือคิดมาคิดไปคิดไปคิดมา  พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ โอ้ว!!!!  คิดไป ๆ ๆ ไม่ต้องคิดมาก สมัยนี้วิทยาศาสตร์แล้ว ไปพิสูจน์กันดีกว่านะ

จอ Compaq 5500 ไม่มีภาพ

            เมื่อวานได้งานซ่อมมาทำ เป็นจอมอนิเตอร์ Compaq 5500  15 นิ้ว  มาด้วยอาการจอมืด  แต่ไฟเขียว
             ก้อเริ่มการวินิจฉัยอาการจอมืดตามเสต๊ปที่อาจารย์รุจ (ศักดิ์สุธี  ปะโมทะโก) ได้สอนไว้ โปรโมทอาจารย์หน่อย 5555++++  ในฐานะศิษย์  ก้อโดดไปเช็ค TR Hor. เลย  ปรากฎว่าปกติ  จากนั้นก็ไปเช็ก Mosfet กลางบอร์ด ก็ปกติอีก  เลยไปเช็คไฟ G1 , G2  จำไม่ได้ว่าเช็คได้เท่าไร 555++++  เช็คไปงั้น ๆ ๆ แล้วก็ไปบัคกรี บอร์ด Video ลองเปิดอีกทีเรียบร้อยครับท่าน ปิดจ๊อบ 555+++
             ไม่ได้เก่งรัยหรอก  พอดีก่อนนอนเมื่อคืนเอาหนังสืออาจารย์รุจมาเปิด ๆ ดู อาจารย์เขียนว่า COMPAQ 15" FBT ทำงาน จอมืดไม่มีภาพ
              1) ย้ำบัคกรีภาควีดีโอ
              2) C ไมล่าที่ขา G2 ค่า 103/2KV ถอดออกก็ได้
              3)  TR E/W OUT ใกล้ ๆ FBT

           เคล็ดวิชาแบบนี้ ถ้าไม่เจ๋งจริงไม่เข้าใจนะเนี่ย 5555+++++    ขอคาราวะแด่อาจารย์ผู้ประสาทวิชา ด้วยนม 1 เต้า

การติดตั้งเสียงตามสาย

            ขอมูลในรูปเป็นของอาจารย์นิมิตครับ  ผมได้นำมาใช้เป็นความรู้ที่มีประโยชน์มาก ๆ ๆ  อยากขอบคุณอีกสักครั้ง.....
















































วิธีวัด Mosfet ดีเสีย

            ตอนเป็นมือใหม่หัดซ่อม งงมั่ก ๆ กะไอ้วิธีวัดMosfet เนี่ย ประมาณว่ากลางตำราวัดกันเลย เจ้าพระคุณเอ๋ย วัดยังไงก้อเสียทุกตัว ก้อเลยเอาตัวดีมาเปรียบเทียบกัน ยิ่งไปกันใหญ่  ตัวที่มันยังไม่เสียวัดได้อย่าง  ตัวที่มันเสียก้อวัดได้อย่าง  กว่าจะรู้ว่า Mosfet เสียก้อเสียเวลาไปมาก 
             ตอนนี้  เก๋าใช้วิธีวัดแบบขั้นเทพ ปกติเวลาเราจับ Mosfet นอนหงาย หรือใครชอบนอนคว่ำก้อไม่มีปัญหา 555++  จะมีขา G  D  S  เรียง  ถ้านอนคว่ำ ก้อจะมีขา S  D  G  เรียงกัน  หรือถ้าชอบนอนตะแคงซ้าย หรือขวาก็ไม่ว่ากัน 555+++  วัดได้ทุกแบบ ขอให้วัดถูกขาเป็นพอ 
              เด่วนี้  วัดเพียง 2 ขา คือ D  กับ S  ตั้งมิเตอร์ x10  จิ้มสลับระหว่าง D กับ S  จะต้องขึ้นหนึ่งครั้ง  ไม่ขึ้นหนึ่งครั้ง  ส่วนขึ้นครึ่ง  ๆ  กลาง ๆ เนี่ยก้อเปลี่ยนใหม่เลย  
             ใคร จะเอาไปใช้ไม่ว่ากัน  หรือใครมีวิธีวัดที่ดีกว่านี้แนะนำมา 
             แล้วจะลองทำตาม  คับผม!!!!!!!!!!

คอมพิวเตอร์ Restart เอง

            คอมที่บ้าน restart เองบ่อยมากเลย ประมาณว่า ทุก 20 นาที  ก็เลยลองแก้ไขตามคำแนะนำของกูรูในเน็ต  อย่างแรกเลย เปลี่ยน Power Supply จาก 350 watt เป็น 450 watt ยังไม่หายแฮะ 
            อย่างที่สอง Format HD แล้วลง Windows ใหม่ โอ้วแม่เจ้าเป็นความคิดที่ดีมาก ๆ เลย เสียเวลาไปครึ่งวัน ใช้ไปอีก 1 ชั่วโมงแมร่ง restart อีกแระ 55555+++++ 
            อย่างที่สาม  ถอดทุกอย่างออกมาปัดกวาดเช็ดถู  ดีขึ้นแฮะ  หายไป 3 วัน  กลับมาอีก เหมือนเพื่อนเก่ากลับมาเยี่ยมอ่ะ  เวลาใช้คอมไปต้องเกร็งตัว ขมิบตูดไปด้วยแมร่งไม่รู้มันจะ restart ตอนไหน 555++ 
            ตอนนี้ก้อยังซ่อมไม่ได้เลย เมียบ่นใหญ่ ไปเรียนมาเสียตังค์เปล่า  ซ่อมคอมที่บ้านยังไม่ผ่านเลย จะไปซ่อมให้ลูกค้าได้อย่างไร 555+++ 
             ลืมบอกเมียไป  ตอนไปเรียนยังไม่คิดว่าคอมมันจะเสียอ่ะ 55555++++ 
            
             คัยมีคำแนะนำ work ๆ ก้อแนะนำได้นะ  ตราบใดที่ยังซ่อมไม่ผ่าน ก้อจะซ่อมต่อไป จุ๊กกรู๊ ๆ ๆ

             และแล้วหลังจากผ่านไปไม่นาน  ก้อพบสัจธรรมจนได้  555+++  เมื่อวานแกะทุกชิ้นส่วนของคอมออกมาดู ปรากฎว่าซิงค์และพัดลม CPU แกะไม่ออก เวงกำ !!!!  โอ้ว พระเจ้า  ตามทฤษฏีมันต้องออกนี่ แต่ทำไม  ๆ  ๆ หรือว่าเมนบอร์ดรุ่นนี้มันยึดพัดลมติดกะบอร์ด คิดไปนั่น 555+ หาไขควงแงะ แต่ก็แงะไม่ออก  เลยเปลี่ยนจากแงะเป็นงัด งัด ๆ  ๆ  พักเดียวกระเด็นออกมาทั้งพัดลม  ซิ้งค์ และก้อCPU โอ้วเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย   ปรากฎว่าครีมอะไนนะขาว ๆ ที่ช่วยระบายความร้อนระหว่าง CPU กับซิ้งค์พัดลมอ่ะ กลายเป็นสีเทา แข็ง  ติดแน่นระหว่างซิงค์กับCPU เลย
             นั่นทำให้ CPU ร้อนเร็วระหว่างการใช้งาน และก้อ Restart ในที่สุด นั่นคือคำตอบ

วิธีรับมือคนในองค์กร

           ในองค์กรหนึ่งๆ ย่อมมีพนักงานที่มีพื้นฐานชีวิตหลากหลายแตกต่างกัน การจะทำงานร่วมงานกันให้ได้อย่างราบรื่นจึงต้องอาศัยการปรับตัวเข้าหากัน ต่างคนต่างพยายามปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงาน ก็จะทำให้เข้าใจกันและลดปัญหาความขัดแย้งลงได้ มาดูวิธีปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนร่วมงาน 9 ประเภทต่อไปนี้



ยืนหยัดเป็นฝ่ายค้าน
           คนประเภทนี้กลัวการเปลี่ยนแปลง จึงต้องคัดค้านเอาไว้ก่อน เช่น เมื่อการเสนอความคิดใหม่ๆ ก็จะปฏิเสธและเลือกที่จะใช้รูปแบบเดิมมากว่า เช่น ให้พิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์ก็มักจะบอกว่าเขียนเอาก็ได้ ให้ส่งอีเมลก็ยืนยันที่จะส่งทางไปรษณีย์ เป็นต้น
           วิธีรับมือ ให้เวลาเขาได้เรียนรู้ประโยชน์ของที่สิ่งเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เขาค่อยๆ ยอมรับและเริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยตัวของเขาเอง

เช้าชามเย็นชาม
           คนประเภทนี้ทำงานแบบย่ำอยู่กับที่ เรื่อยๆ ไปวันๆ อาจเป็นเพราะความเคยชินที่ทำงานแบบเดิมๆ แล้วรู้สึกว่าปลอดภัยดี จึงไม่คิดปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไร
            วิธีรับมือ เสนอหัวหน้าให้ส่งเขาไปอบรมสัมมนาหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ ผลงานจะได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยให้กำลังใจเขาด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ค่อนข้างทำได้ยาก

แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก
          คนบางคนอาจมีปัญหาที่บ้าน ทำให้ไม่สบายใจ กลายเป็นคนเก็บตัว หรือกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด จนพาลมีเรื่องกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว หรือบางคนมีเรื่องขุ่นเคืองกับคนในที่ทำงาน พาลให้ไม่อยากทำงานไปด้วย
           วิธีรับมือ พยายามให้ทั้งสองฝ่ายมาตกลง ทำความเข้าใจกัน เพื่อจะได้ร่วมงานกันต่อไปอย่างราบรื่น

ไม่มั่นใจในตัวเอง
         บางคนมีความคิดดีแต่ไม่กล้าแสดงออก กลัวว่าจะไปล้ำเส้นใครเข้า หรือกลัวว่าถ้าทำผิดพลาดแล้วจะถูกตำหนิ เมื่อคิดแบบนี้จึงไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่คอยรับคำสั่งเท่านั้น
          วิธีรับมือ คอยให้กำลังใจ ส่งเสริมให้เขาทำในสิ่งที่ดี พยายามให้เขาแสดงความคิดเห็นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อน ชมเชย เพื่อให้เขามีกำลังใจ และกล้าแสดงความคิดเห็นต่อๆ ไป หากเขาทำผิดก็ช่วยแก้ไข ไม่ตำหนิ หรือซ้ำเติม

เหลี่ยมจัด ลอบกัด ปัดความรับผิดชอบ
           คนประเภทนี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ต่อหน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง ชอบนักเรื่องเอาความดีใส่ตัวแล้วโยนความชั่วให้คนอื่น ถ้าต้องร่วมงานด้วยควรระวังให้มาก เพราะอาจถูกแทงข้างหลังเป็นแผลเหวอะหวะ หรืออาจเจอเล่ห์กลทำให้งานของเขากลายเป็นงานของเราได้ง่ายๆ
           วิธีรับ มือ เข้าใกล้เท่าที่จำเป็นต้องร่วมงานด้วย ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด และต้องมีหลักฐานว่า เราทำอะไร เขาทำอะไร และร่วมกันอย่างไร


หลงตัวเอง เก่งคนเดียว
        คนประเภทนี้มักคิดว่าไม่มีใครฉลาดเท่า และไม่มีใครทำงานแทนได้ จึงไม่ยอมแบ่งงานหรือทำงานร่วมกับใคร รวมทั้งไม่ชอบฟังคำแนะนำจากใครด้วย
        วิธีรับมือ พยายามปรับตัวเราให้ทำงานร่วมกับเขาได้ พยายามชื่นชมในความเก่งของเขา โดยไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมา


หนักไม่เอา เบาไม่สู้
       คนประเภทนี้ชอบผัดวันประกันพรุ่ง กินแรงคนอื่นประจำ ไม่ยอมเสียสละเพื่อใคร หลบได้เป็นหลบ เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง
        วิธีรับมือ พยายามพูดว่าเขาทำงานดี เพื่อให้เขาได้แสดงฝีมือบ้าง ในทางกลับกันอย่าไปว่าเขาเชียวล่ะ เพราะยิ่งว่าเขาก็จะยิ่งไม่ยอมทำอะไรมากขึ้น

ขี้โมโห
           ถ้าเรามีเพื่อนร่วมงานประเภทโกรธง่ายหายเร็ว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่พอใจอะไร ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็แสดงอาการออกมาโดยไม่คิดถึงจิตใจผู้อื่น
            วิธี รับมือ เวลาที่เขาแสดงอาการฉุนเฉียว อย่าพยายามเถียงหรือให้เหตุผล เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่รับฟังเราหรอก ถ้าอยากจะเตือนเขา ต้องพูดตอนเขาอารมณ์ดีๆ

ขาดมนุษย์สัมพันธ์
        คนประเภทนี้จะตรงไปตรงมา คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น แบบขวานผ่าซาก ถึงแม้จะมีเจตนาดี แต่ว่าแสดงออกไม่เป็น ทำให้คนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเย่อหยิ่ง ไม่อยากคบ ไม่อยากร่วมงานด้วย
         วิธี รับมือ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น พยายามมองส่วนดีของเขา และมองข้ามเรื่องขุ่นใจเล็กๆ น้อยๆ จากคำพูดของเขา เพื่อสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน


ขออภัยเจ้าของบทความด้วยนะขอรับ เนื่องจากกระผมจำที่ไปลอกมาไม่ได้จริง ๆ

ประเทศไทยแพ้ไม่ได้ !!!!

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต



เดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ผมเขียนบทความ “เรากำลังอยู่ในยุค “สงครามกลางเมือง”

โดยเจตนาก็เพื่อแสดงความเห็นต่อสาธารณชน และเตือนสังคมว่า สงครามกลางเมืองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีลูกกระสุนวิ่งออกจากปากกระบอกปืนจริงๆ เสียอีก

วันนี้... เวลานี้... ผมเห็นว่า สิ่งที่เรา คนไทย ประเทศไทย จะต้อง “ตั้งหลักความคิด” เพื่อก้าวข้ามสงครามกลางเมืองไปให้จงได้ อย่างน้อย มีดังต่อไปนี้

1) ฝ่ายทักษิณ ขบวนการแดงกบฎ แสดงออกว่า ไม่ให้การยอมรับอำนาจการปกครองของรัฐบาลที่มาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 หากว่ารัฐบาลนั้นไม่ใช่พรรคพวกของตน

เพราะที่ผ่านมา ขบวนการแดงกบฎ ระบอบทักษิณ เคยให้การยอมรับรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย แต่กลับไม่ยอมรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่ มีที่มาจากการเลือกตั้งครั้งเดียวกัน และมีการเลือกนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งชุดเดียวกัน

ปลุกระดม เคลื่อนไหว คุกคาม มิให้คนของรัฐบาลไปปฏิบัติหน้าที่ในงานบริหารราชการแผ่นดินตามพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่จังหวัดที่เป็นฐานคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทย

เสมือนเป็นการพยายามสถาปนาเขตอำนาจหรือเขตอิทธิพลของพรรคพวกตนเอง โดยแบ่งแยกหรือซ้อนทับเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐไทย

2) ที่ผ่านมา ขบวนการแดงกบฎใช้สื่อเพื่อแบ่งแยกประชาชนออกจากอำนาจรัฐ โดยเฉพาะ “ทีวีสีแดง” ปลุกระดมด้วยความเท็จ ถ่ายทอดการปราศรัยปลุกระดม สั่งการให้ไปทำผิดกฎหมาย ทำร้าย คุกคามผู้อื่นใน

สังคม โดยป้อนข้อมูลปั้นแต่ง และสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองประเทศของรัฐบาล

สร้างเรื่อง สร้างเงื่อนไข ปูทางให้เกิดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลภายในประเทศ เช่นเดียวกับที่เคยพยายามกระทำมาก่อน แม้ที่ผ่านมาจะถูกจับได้ไล่ทันว่าใช้ความเท็จเป็นเครื่องมือปลุกระดมทางการเมืองมาแล้วหลายครั้งหลายหน เช่น โกหกว่า มีคนเสื้อแดงถูกฆ่าตายระหว่างการก่อจลาจลในช่วงเดือนเมษายน 2552 และการบุกทำลายการประชุมอาเซียนที่พัทยา, โกหกว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่ในรถที่คนเสื้อแดงรุมล้อมพยายามจะฆ่า, โกหกว่า มีคลิปเสียงที่นายกฯ อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน, โกหกว่า มีเทปเสียงรัฐมนตรีกษิตสั่งการให้จารกรรมข้อมูลลับของกัมพูชา ฯลฯ ล้วนเป็นการโกหก เพื่อสร้างสถานการณ์รองรับการเคลื่อนไหวของพวกตนทั้งสิ้น

ใช้ข้อมูลเท็จ และบิดเบือนข้อมูล ปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ คนในรัฐบาล และทุกฝ่ายที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์กับขบวนการของพวกตน

สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม “ดีทีวี” ถูกจัดตั้งขึ้นมาด้วยเจตนาในทางการเมืองมากกว่าจะทำหน้าที่ตามจรรยาบรรณวิชาชีพของสื่อสารมวลชนที่ดีทั่วไป สมดังถ้อยแถลงของนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำผู้จัดตั้ง แถลงชัดแจ้งตั้งปแต่วันเปิดสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ว่า “พวกผมมาคิดการใหญ่ ไม่ใช่แค่เปิดรายการโทรทัศน์ แต่สร้างรัฐไทยขึ้นมาใหม่ด้วยมือคนเสื้อแดง”

ดังนั้น ตามรูปการณ์ที่ปรากฏ การจัดตั้ง “ดีทีวี” จึงเป็นการสร้างเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ต้องการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศไทย เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองประเทศของรัฐบาล แบ่งแยกประชาชนในประเทศ เอื้อประโยชน์ทางการเมืองแก่นักโทษหลบหนีคำพิพากษาของศาล ก่อให้เกิดสถานการณ์ทางการเมืองที่เอื้อต่อสงครามกลางเมือง

3) ในการหาแนวร่วมเคลื่อนไหว ร่วมรบ พยายามเอาผลประโยชน์เฉพาะหน้าของแต่ละฝ่ายเป็นเครื่องล่อให้ทำงานรับใช้ระบอบทักษิณในสงครามกลางเมืองครั้งนี้ เช่น

กับกลุ่มนักเคลื่อนไหวการเมืองที่พร้อมขายตัว ขายจิตวิญญาณ ขายแรงงาน ก็เอาเงินค่าจ้างเป็นเครื่องล่อ

กับกลุ่มคนที่เป็น "คอมมิวนิสต์เก่า" ก็พยายามปลุกเรื่องชนชั้น นำมาเป็นของล่อใจ

กับกลุ่มคนที่ไม่เอาเจ้า ก็เอาขบวนการล้มเจ้ามาเป็นเครื่องล่อ

กับนักวิชาการเสื้อแดงบางกลุ่ม ที่มีแนวคิดว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่เหมาะสมกับประเทศไทยในปัจจุบัน ก็นำเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นเครื่องล่อ เพื่อที่จะลดบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เหลือเพียงแค่สัญลักษณ์ในการปกครอง ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบอื่น เช่น ประธานาธิบดี ฯลฯ หรือไม่ก็พยายามทำให้เหมือนในประเทศกัมพูชา ที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวกษัตริย์ โดยเอากษัตริย์ที่ตนครอบงำไม่ได้ออกไป แล้วสนับสนุนให้กษัตริย์ที่ตนเองครอบงำได้ขึ้นมาแทน ทำให้ตนเองสามารถมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือกว่าทุกสถาบันในประเทศ

กับกลุ่มคนที่รักและชื่นชอบรัฐธรรมนูญ 2540 ก็เอาเงื่อนไขเรื่องการนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาแก้ไขดัดแปลงใช้แทนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทั้งฉบับ มาเป็นเครื่องล่อ

กับกลุ่มคนยากจน หรือคนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสารเพียงพอ ก็ใช้ผลประโยชน์เฉพาะหน้าและความคาดหวังลมๆ แล้งๆ ในตัวทักษิณมาเป็นเครื่องล่อ

กับทหารรับจ้างบางกลุ่ม ก็เอาเงิน เอาผลประโยชน์เป็นเครื่องล่อ หรือเครื่องว่าจ้าง

หรือแม้แต่กับรัฐต่างประเทศ ผู้นำต่างประเทศ ก็เอาสิทธิและผลประโยชน์ของชาติ อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทย เป็นเครื่องล่อ โดยหวังว่า หากพวกระบอบทักษิณได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็จะเอื้อประโยชน์ตอบแทนแก่ต่างชาติดังกล่าว มากกว่าที่ได้รับในปัจจุบัน เป็นต้น

ระบอบทักษิณ ขบวนการแดงกบฎ พร้อมเอาทุกอย่างเป็นเครื่องล่อ โดยพ่วงสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเองไว้ในทุกๆ เงื่อนไข คือ การสร้างสถานการณ์เพื่อให้พวกตนสามารถรอดพ้นความผิดจากคดีร้ายแรงทั้งหลาย รวมทั้งการไม่ต้องรับผิดในคดีของทักษิณ ชินวัตร

4) สงครามกลางเมืองครั้งนี้ ขบวนการแดงกบฎ ระบอบทักษิณ ใช้วิธี “แบ่งงานกันทำ”

มีการจัดวางยุทธวิธีการรบอย่างเป็นขบวนการ เช่น นายใหญ่ผู้อยู่ต่างแดน ทำหน้าที่กดปุ่ม หรือยิงขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป, บริวารเสื้อแดงส่วนหนึ่ง ทำหน้าที่ทหารราบ เคลื่อนไหวรุนแรงสร้างสถานการณ์ในประเทศ, กองกำลังติดอาวุธ ทำงานกองโจร ใช้อาวุธสงครามก่อวินาศกรรม และลอบกัด โดยใช้การชุมนุมของประชาชนเป็นที่กำบัง ใช้ชีวิตประชาชนเป็นโล่ห์มนุษย์ และใช้ชีวิตคนเสื้อแดงเป็นเครื่องเซ่นสังเวย เพื่อให้ได้ศพมาใช้เป็นเครื่องมือเคลื่อนไหว ยกระดับความรุนแรงในการชุมนุม, บริวารเสื้อแดงอีกส่วนหนึ่ง ก็ทำหน้าที่ทหารปืนใหญ่ ใช้โทรทัศน์เป็นเครื่องมือโจมตี, อีกส่วนที่อยู่ในสภา ก็มีหน้าที่ปั่นป่วน ขัดขา ขัดขวาง เหมือนเป็นทหารม้าในรถถังบุกตะลุย โดยมีตำแหน่ง ส.ส.เป็นเกราะป้องกันตัว, ข้าราชการบางส่วนที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญ ก็ทำหน้าที่เสมือน “สายลับ” คอยส่งข่าวหรือขัดแข้งขัดขาอย่างลับๆ เป็น “ทหารแตงโม” หรือ “ตำรวจมะเขือเทศ” เป็นต้น

5) สงครามกลางเมืองครั้งนี้ ประเทศไทย แพ้ไม่ได้

ถ้าประเทศไทยพ่ายแพ้ เราจะไม่ได้อยู่บนแผ่นดินที่คุ้นเคยอีกต่อไป

ฝ่ายอำนาจรัฐ และรัฐบาลที่มีที่มาโดยชอบธรรม จึงต้องรักษาไว้ซึ่งความเป็นนิติรัฐ และความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองให้สำเร็จให้จงได้

ถ้ารัฐบาลแพ้ ประเทศชาติส่วนรวมแพ้

เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของบวนการแดงกบฎ ซึ่งจะดำเนินการต่อไป โดยอาศัยวิธีการและกองกำลังติดอาวุธหนุนหลังเช่นเดิมนั้น คือความพ่ายแพ้ของประเทศชาติส่วนรวมอย่างแท้จริง เช่น

การเมืองที่พ่ายแพ้แก่ระบอบทักษิณ จะใช้อำนาจรัฐโดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรม ไม่ตระหนักถึงความถูกต้อง แต่จะสนใจเพียงที่มาของการเข้าสู่อำนาจ โดยทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนชนะเลือกตั้ง ทุจริตเลือกตั้ง ซื้อเสียง โกงเลือกตั้ง ซื้อตัว สส. ฯลฯ และเมื่อชนะเลือกตั้ง ได้อำนาจรัฐแล้ว จะทำอย่างไรกับบ้านเมืองก็อาจกระทำได้ แม้แต่จะใช้อำนาจรัฐไปรับใช้บุคคลคนเดียวกลุ่มเดียว ก็กระทำได้ เพราะถือว่าประชาชนได้มอบอำนาจให้ตนอย่างเด็ดขาด ผ่านการเลือกตั้ง

อำนาจตุลาการที่พ่ายแพ้แก่ระบอบทักษิณ จะตกอยู่ภาวะอันตราย ถูกระบอบทักษิณกดดัน พยายามครอบงำและแทรกแซงทุกรูปแบบ โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติและบริหารที่มีอยู่ เช่น ออกกฎหมายอันมีผลให้อำนาจตุลาการไม่สามารถพิจารณาคดีของทักษิณและพวกได้ หรือออกกฎหมายเพื่อให้คำพิพากษาของศาลมีผลใช้บังคับกับทักษิณและพวก เป็นต้น

องค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมที่พ่ายแพ้แก่ระบอบทักษิณ จะถูกครอบงำ ทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบ ผดุงความยุติธรรมในสังคมได้อีกต่อไป โดยจะไม่สามารถดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับพรรคพวกนักการเมืองในระบอบทักษิณได้เลย ยิ่งกว่านั้น ยังมีแนวโน้มที่จะรับใช้และเป็นเครื่องมือให้กับผู้มีอำนาจรัฐฝ่ายเดียว

กองทัพและระบบราชการที่พ่ายแพ้แก่ระบอบทักษิณ จะถูกแบ่งแยกและยึดครอง คนเก่งคนดีจะไม่ได้รับผลของความดี เท่ากับคนที่ยอมตนเป็นข้ารับใช้ให้ระบอบทักษิณ ต้องมุ่งสนองตอบความต้องการของนักการเมืองเป็นใหญ่

เมื่อระบอบทักษิณกลับมายึดประเทศไทยได้อย่างเบ็ดเสร็จ ก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเสี้ยนหนาม และทำลายศัตรูทางการเมืองของตน คือ ทำให้อำนาจส่วนอื่นๆ อ่อนแอที่สุด

การเมืองภาคประชาชนที่พ่ายแพ้แก่ระบอบทักษิณ จะอ่อนแอ ถูกทำให้แตกสลาย สันติวิธีจะถูกปฏิเสธ หันไปใช้ความรุนแรงตามแบบของ “เสื้อแดงโมเดล” เพื่อล้มอำนาจรัฐที่ตนเองไม่พึงพอใจ

ชาวรากหญ้า โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ ก็จะยังถูกปฏิบัติเสมือนเป็นแค่เครื่องมือเข้าสู่อำนาจรัฐของนักการเมืองดังเดิมต่อไป ไม่ได้ปฏิบัติเหมือนดั่งเป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่จะถูกนักการเมืองใช้เงินภาษีอากรล่อซื้อ ล่อหลอก และมอมเมาด้วยนโยบายอบายมุข เอาหน้าประชานิยม เพียงเพื่อเอาใจในยามที่ต้องการคะแนนเสียง

อย่าหวังว่า ระบอบทักษิณจะปลดปล่อย ช่วยเหลือให้ประชาชนได้สามารถพึ่งตนเองได้ หรือยืนหยัดด้วยตนเองอย่างเข้มแข็ง มีสติปัญญารู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง หรือมีการรวมกลุ่มระหว่างชาวบ้านด้วยกันเองเพื่อเสริมสร้างอำนาจต่อรองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะนักการเมืองเหล่านั้นจะใช้วิธีเลี้ยงไข้ เพื่อให้ชาวบ้านยังคงตกอยู่ในระบบอุปถัมภ์โดยนักการเมืองต่อไป เพื่อรักษาไว้ซึ่งฐานอำนาจอันเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองต่อไปดังเดิม

ยิ่งกว่านั้น ระบบเศรษฐกิจไทยจะถูกบ่อนทำลายความสามารถในการแข่งขัน การกระจายรายได้เลวลง การแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรม จะถูกทำลายลงด้วยระบบวิ่งเต้นเส้นสาย แบ่งปันผลประโยชน์ และแสวงหากำไรส่วนเกินมาแบ่งปันกันของคนในเครือข่ายระบอบทักษิณ การเอารัดเอาเปรียบ และการขูดรีดทางเศรษฐกิจ จะยังคงมีต่อไป อย่างรุนแรงมากขึ้น

นักธุรกิจที่มีเส้นสาย จะได้รับยกเว้นภาษี สนับสนุนให้มีกำไรพิเศษ แต่นักธุรกิจที่ทำงานด้วยความสามารถจะถูกกีดกันออกไปจากเวทีการแข่งขันด้วยการเลือกปฏิบัติ ดูดซับผลประโยชน์ส่วนตัวผ่านกลไกการผูกขาดต่อไป

ประการสำคัญที่สุด สถาบันเบื้องสูง จะถูกแปลงให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ เพื่อกีดกันมิให้มีบทบาทสำคัญในสังคมได้อีกต่อไป เพื่อลดทอนบารมี ในขณะเดียวกัน ก็จะสร้างภาพ สร้างกระแส เพื่อยกระดับนักการเมืองในตระกูลผู้นำระบอบทักษิณ ให้ขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันหรือทดแทนสถาบัน

ทั้งหมดนี้ น่าจะได้เห็นแน่ๆ หากฝ่ายอำนาจรัฐ พ่ายแพ้แก่ขบวนการแดงกบฎ

วันนี้... รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น กองทัพไม่มีทางเลือกอื่น ประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินต้องรวมพลังสามัคคีแผ่นดิน เพราะประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่น

ประเทศไทย แพ้ไม่ได้!

สุดยอดวาทะกรรมแห่งปี 2553

            ขอขอบคุณ  คุณพงษ์พัฒน์  วชิรบรรจง  ที่กรุณาเอ่ยคำนี้ออกมา โดนใจจริง  ๆ


พ่อเป็นเสาหลักของบ้าน
บ้านของผมหลังใหญ่นะฮะ ใหญ่มาก
เราอยู่กันหลายคน ผมเกิดมาบ้านหลังนี้ก็สวยงามมากแล้ว
สวยงามและอบอุ่น
แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้นะครับ
บรรพบุรุษของพ่อ
เสียเหงื่อ เสียเลือด
เอาชีวิตเข้าแลก
กว่าจะได้บ้านหลังนี้ขึ้นมา
จนมาถึงวันนี้
พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน
และก็ดูแลความสุขของทุกๆ คนในบ้าน
ถ้ามีใครสักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้
ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้
แล้วก็พาลมาลงที่พ่อ
เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน
ผมจะเดินไปบอกคนๆ นั้นว่า
ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว
จงออกไปจากที่นี่ซะ
เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ
เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ
ผมรักในหลวงครับ
และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้
รักในหลวงเหมือนกัน
พวกเราสีเดียวกันครับ
ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน

พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
งานประกาศผลรางวัลนาฏราช
ถ่ายทอดทางไทยทีวีสีช่อง 3
วันที่ 16 พฤษภาคม 2553

จับประเทศเป็นตัวประกัน

              ในพ.ศ.นี้ใคร ๆ ก็คิดจับประเทศไทยเป็นตัวประกัน โดยคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ แต่ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้


              ครั้งแรกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อ้างเหตุการบริหารงานของอดีตนายกทักษิณเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล เข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ บวกกับมีกลุ่มสหภาพรัฐวิสาหกิจเข้าร่วมด้วยจึงทำให้การยึดประเทศไทยเป็นตัวประกันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ครั้งนั้น จบลงด้วยการปฏิวัติของทหารโดยอ้างเหตุกลัวการปะทะของมวลชนในการยึดอำนาจจากรัฐ และบริหารงานลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาด้วยรัฐบาลรักษาการจนมีการเลือกตั้งใหม่

               ในการเลือกตั้งใหม่พรรคพลังประชาชนได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งผมมองว่าเป็นความชอบธรรมและเป็นตามระบบประชาธิปไตย โดยมีท่านสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายตรงข้ามก็อ้างความเป็นตัวแทนของอดีตนายกทักษิณของท่านมาเป็นเหตุให้ท่านต้องออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยข้อกำหนดของกฎหมายในขณะนั้น

                ต่อมาท่านนายกสมชาย วงศ์สวัสดิ์เข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งก็มีข้อหานอมินีเหมือนกัน เนื่องจากท่านเป็นน้องเขยของอดีตนายกทักษิณ จนกระทั่งมีการแยกตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลของกลุ่มเนวิน ทำให้พรรคพลังประชาชนไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

                และแล้วทหารโดยท่านอนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้มาเป็นคนกลางในการจัดตั้งรัฐบาลทำให้ได้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีกลุ่มที่เรียกตัวเองว่านปช.ออกมายื่นข้อเรียกร้องอะไรต่าง ๆ มากมายจนจำแทบไม่ได้ เนื่องจากเรียกร้องไปได้เรื่อย ๆ

                 ตอนแรกเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 15 วัน แต่รัฐไม่ยอม ก็ยืดไปอีก 30 วัน รัฐไม่ยอมอีก ก็ยืดไปอีก 3 เดือน แต่พอรัฐยอม ก็ยื่นเงื่อนไขอื่นอีกให้ท่านสุเทพ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงไปมอบตัวกองปราบ แต่ท่านสุเทพก็ไม่มอบตัวกับ DSI ทำให้นปช.ไม่ยอม ยึดประเทศเป็นตัวประกันต่อไป โดยการยึดพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์เป็นที่ฝังศพตัวเอง

                  แกนนำประกาศสู้ตายอยู่ตรงนั้น แต่ยังไม่ตายซะที เพราะคนที่ตายคือคนที่แกนนำใช้ให้ตายแทนตัว

                  ต้องถือว่าเป็นกรรมของพวกที่ตายแทนแกนนำ ขอให้ท่านได้ไปแสดงกิจกรรมของท่านต่อในอเวจี หรือสวรรค์แล้วแต่กรณี

                    ส่วนแกนนำที่ยังอยู่ในประเทศ และที่หนีไปต่างประเทศแล้วขอให้มีความสุข

ประวัติเสธ.แดง




            ข่าวการลอบยิงเสธ.แดง เมื่อคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 53 เวลา 20.00 น. สร้างความตื่นตระหนกให้ผมไม่น้อย  ต้องคอยติดตามข่าวความคืบหน้าของการรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ตลอด  เนื่องจากผมเองชอบอุปนิสัยของเสธ.ท่านนี้เป็นการส่วนตัว แม้จะไม่เคยพูดคุย หรือเคยพบปะตัวตนจริง  ๆของเสธ.แดง แต่ก็ติดตามข่าวคราบมาตลอด  แม้ว่าบางแนวคิดของเสธ.แดงผมอาจจะไม่เห็นด้วยอยู่บ้างก็เป็นธรรมดาของคนที่คิดต่างกัน แต่ก็ไม่เคยคิดจะทำร้ายหรือทำลายด้วยวิธีการต่าง ๆ

            ประวัติส่วนตัว พล.ต. ขัตติยะ เป็นชาวอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2494 เป็นบุตรชายคนสุดท้องของ ร.อ.สนิท สวัสดิผล และนางสอิ้ง สวัสดิผล จากจำนวนพี่น้อง 4 คนซึ่งเป็นหญิง 3 คนและชาย 1 คน

             จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนศรีวิกรม์ การศึกษาด้านการทหาร จบโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 11, โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 22 และโรงเรียนเสนาธิการทหารบก รุ่นที่ 63

             เรียนต่อปริญญาตรี คุรุศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษาปี 2528 ปริญญาโท คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สำเร็จการศึกษาปี 2539

              ปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม สำเร็จการศึกษาปี 2545
              ปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง สำเร็จการศึกษาปี 2547
              ปริญญาเอก สาขาบริหารรัฐกิจ UNIVERSITY OF NORTHERN PHILIPPINES สำเร็จการศึกษาปี 2551

               เข้ารับราชการครั้งแรกในกองพันทหารราบที่ 4 ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี และเติบโตมาในสายทหารม้า เคยได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ เมื่อปี 2543

                เคยเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าในช่วงปี 2529 เป็นนายทหารติดตามของ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก รองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และเคยเป็นนายทหารคนสนิทของนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก

                สมรสกับ นาวาเอก (พิเศษ) หญิง จันทรา สวัสดิผล (เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็ง) มีบุตรสาวด้วยกันทั้งหมด 1 คน ชื่อ นางสาวขัตติยา สวัสดิผล (ชื่อเล่น: เดียร์) ปัจจุบันทำงานเป็นทนายความในสำนักกฎหมายเอกชน

ปัจจุบัน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล มีเว็บไซต์ของตนเอง ที่วิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันอย่างดุเดือด โดยบุคคลที่ชื่นชอบจะเรียกชื่อ พล.ต.ขัตติยะ อย่างเคารพว่า "อาแดง"  ซึ่ง ณ วันนี้ เว็บไซต์ดังกล่าวโดนปิดไปแว้วโดยกระทรวง ICT แต่ถ้าใครสนใจมีประวัติบางส่วนอยู่ที่ wikipedia ขัตติยะ สวัสดิผล

วิธีใช้หนี้พ่อแม่:ฉบับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน


            1. จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก


           2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

           3. ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ

           4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ

           5. บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ

ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะจ๊ะ)

             ตัวอย่างที่ 1 บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล (กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว

              ตัวอย่างที่ 2 เมื่อเร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อตาย แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ

             6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้…….. คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ

              นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ


หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ


นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา


            ตัวอย่างที่ 3 "หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง" เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้ บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง... พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด

            7. ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล

             8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี

             9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา......... พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ

             10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว
 
ที่มา : Forward Mail

การคำนวณอายุงานใน Microsof Access

            บางทีจะหาวิธีการคำนวณแต่ละทีช่างยุ่งยากเสียจริงทั้ง ๆ ที่ก็เคยใช้อยู่เลยเอามาบันทึกช่วยจำไว้ในนี้เสียเลยจะได้ไม่ต้องไปค้นให้ยุ่งยาก

            Function ที่ใช้ : Int(DateDiff("m", [BirthDate], Now()) / 12) & " ปี " & (DateDiff("m", [BirthDate], Now()) Mod 12) & " เดือน"

             BirthDate คือ ฟิลด์วันเกิดที่เราใส่เข้าไปนั่นเอง
             จากFunction นี้ ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น อายุ.......ปี ....... เดือน


             อีก Function หนึ่งที่เคยใช้คือ DateDiff ("yyyy",[Birthday],Now())  ให้ผลลัพธ์ไม่น่าประทับใจเท่าไรเนื่องจากคำนวณไม่ตรงกับความเป็นจริง เราบอกว่า ให้เอาคนเกิดวันที่ 23-02-2516 มาคำนวณอายุ วันที่ปัจจุบัน 10-03-2553  ได้เท่ากับเท่าไร พี่ท่านตอบว่า  36 ปี  .........งง  ก็เลยใช้ Function แรกมาตลอด

กรรมของนักศึกษา...หลอกให้เรียน

            หลายวันมานี้ฟังข่าวทางวิทยุ  ดูทีวี เห็นน้องนักศึกษาปีที่ 3 วิทยาลัยราชธานี  ที่เรียนสาขาพยาบาลร้องห่มร้องไห้ ตึอก ชกตัว  เนื่องจากหลักสูตรยังไม่ได้รับรองจากสภาการพยาบาล
            สมัยเมื่อ 20 ปีก่อน ผมเคยมีประสบการณ์แบบเดียวกัน เรียนไปขออนุมัติหลักสูตรไป  ใกล้จะจบมหาลัย แจ้งว่า หลักสูตรยังไม่ได้รับการรับรองจาก ก.พ.  555+  สมัยนั้น นักศึกษาที่ขยัน และฉลาด บวกกับมีตังค์สักนิดจะลงทะเบียนเรียนราม  หรือมสธ.ไปด้วยทำให้เวลาจบมา แม้สถาบันอะไรไม่รับรองก็ไม่มีผลกระทบมากนัก  ไม่เหมือนนักศึกษาที่กู้เงินเรียน ที่แม้แต่ค่าเช่าห้องยังต้องผลัดผ่อน  กินอาหารญี่ปุ่นเกือบทุกมี้อ 
            เมื่อเรียนจบมาไปสมัครเข้ารับราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่ไหนก็ไม่ได้ เนื่องจาก ก.พ. ไม่รับรอง แต่สมัครงานเอกชนได้ 5555+ หรือไปสมัครเรียนต่อได้ทุกสถาบันทั้งในและต่างประเทศ....แปลกแต่จริง  นี่แหละประเทศไทยของเรา
             ผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ร่างหลักสูตร ผู้อนุมัติหลักสูตร  เจ้าของมหาลัย รัฐบาล  ท่านเหล่านี้อยู่ในสภาวะลอยตัว  ไม่ต้องมานั่งรับผิดชอบอะไรกับเงินที่นักศึกษา และผู้ปกครองเสียไป  ไม่ต้องมานั่งชดใช้เวลาที่เสียไป  และค่าเสียโอกาสอะไรต่าง ๆ
             จริง  ๆ แล้วพวกเราน่าจะไปฟ้องศาลพระภูมิที่ไหนสักแห่ง ที่ท่านยินดีรับฟ้อง  รับฟัง  ทุกข์ร้อนที่เกิดจากการบริหารงานที่ไม่เข้าท่า  ของผู้มีอำนาจทั้งหลาย เราอาจจะขอเรียกร้องเงินชดเชยค่าเสียโอกาส  ค่าเสียเวลา  ค่าเสียใจ  เหมือนกับหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่งฟ้องประชาชนที่บุกรุกป่าในข้อหาทำโลกร้อน  พ่อแม่พี่น้อง....ไม่รู้หน่วยราชการที่ว่า...ใช้ส่วนไหนคิด....ทำไปได้
              ถ้าหากท่านทั้งหลายทำแบบนั้นกับประชาชนได้  พวกเราก็น่าจะฟ้องร้องเอาคืนบ้าง เช่น โดนตำรวจให้ใบสั่ง ก็ฟ้องข้อหาทำให้เสียขวัญ 555+ ค่าเสียหายหลักล้านเลยดีป่ะ  55+

วิธีอยู่กับคน โดย ว.วชิรเมธี

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี



ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง

หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้อง

ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต

โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง

คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน

ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

''น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน  ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ  ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก

เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ

กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า

เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร

หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง

แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้

เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ

เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า

ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า

เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง

คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง

ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา

จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น

ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น

เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย

เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย

วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อม

หรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก

เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี

ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว

มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม

อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง

ความโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย

มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น

นักภาวนาเรียกว่า ''การกลับมาอยู่กับตัวเอง''

กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก

แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด

ก็ควรหันกลับเข้ามา ''มองด้านใน''

แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น

เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห

ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด

สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ

การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่เราทุกขณะ

หรือถ้าเช่นนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปเสียจาก สภาพแวดล้อมเช่นนั้นให้เร็วที่สุด

อย่าอยู่นานจนทุกข์นั้นกลัดหนองเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์

ปราชญ์จีนบอกว่า

'ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา

แต่จงย้ายตัวเอง ''