ที่มา : Phrathraiyok@gmail.com
เรื่องราว และข้อมูลที่เก็บไว้ ณ ที่นี้ เป็นของที่เก็บมาจากที่ต่าง ๆ ทั้งมีที่มาและหาที่มาไม่ได้หากท่านผ่านทางเข้ามาอ่าน หากไม่ชอบใจต้องขออภัย The stories and information collected here are collected from various sources, both originated and unrecognizable. If you pass by, read through If you don't like it, sorry.
Mae Chaem: A Secluded 'Secret' That's Well Worth Keeping
Maneeya Dhammataree
Tourism in the north of the country typically reaches a peak during the end of the year as the cooler climes start kicking in, attracting domestic travelers and international visitors alike.
The more comfortable temperatures and breathtaking views at altitude provide the ideal environment for an end of year vacation, supported by the area's year-round cultural attractions, as personified by the colorful hill tribe peoples who reside there.
Peace and quiet
While the small town of Pai in Mae Hong Son province has gained a good deal of coverage over recent years as an increasingly popular tourist destination in northern Thailand, I recently got the chance to visit Mae Chaem, a small town located in a remote district of Chiang Mai, just west of Doi Inthanon National Park.
Although it's officially in Chiang Mai province, Mae Chaem is roughly half way between Chiang Mai and Mae Hong Son province to the northwest. Due to its close proximity to Doi Inthanon – Thailand's highest peak (2,565 meters above sea level) – Mae Chaem also enjoys glorious vistas, as well as possessing its own unique attractions that woo visitors year-round.
Although it doesn't look like a long journey when consulting a map, getting there can be quite an adventure in itself.
From Chiang Mai, take Highway 108 (Chiang Mai-Jom Thong), then switch over to route 1009 (Jom Thong-Inthanon). At Inthanon, you will need to take route 1192 (Inthanon-Mae Chaem), which represents the final leg of your journey to the charming destination. This 116-kilometer trip can take up to four hours to complete.
The road itself is fairly narrow and very windy, which has no doubt helped to protect Mae Chaem from the developer's bulldozer. You'll encounter picturesque tiers of rice paddies, along with an impressive background, featuring the park's impressive peaks.
The rice fields are particularly verdant during the rainy season, so some folks even choose to pay the area a visit during that time of year, weather conditions permitting. In contrast, the landscape has a rather more golden-colored appearance during October to November.
As the sun begins to set over the Mae Chaem River, the presence of a group of folks fishing and some children playing nearby only enhances the overall ambiance.
Traditions retained
While most residents of Mae Chaem are involved in agriculture, some make a living by weaving textiles. Sin Teen Chok, a well known form of sarong, which features finely detailed embroidery along the hem, is thought to originate in Mae Chaem. You'll find plenty of outlets here where you can purchase items if looking to take home a souvenir, or a nice gift for someone special.
It pays to have your own vehicle if visiting Mae Chaem since there are a number of other interesting attractions located nearby. For example, two waterfalls – Mae Parn (left) and Sai Leung (right) – are located about 17 km from the town.
If you're visiting the area during this time of year (November to early December), you could tie in a visit to Mae Chaem with a trip to Doi Mae U-Kor. This area is renowned for its marvelous sunflowers, which provide some stunning views. Located about 100 km northwest of the town, the journey from Mae Chaem to Doi Mae U-Kor should take you no more than two to three hours by car.
And a visit to Mae Chaem would really be incomplete without a visit to the nearby hill tribe villages. One interesting spot I encountered during my visit was a 'Coffee Cottage', which is managed by teachers and students from Pang Tong School. The warm welcome and wonderful smiles of the children will certainly help you to recharge your batteries before heading home.
Transport connections:
Air: Bangkok Airways, Nok Air, Thai Airways, and Air Asia all operate regular flights from Bangkok to Chiang Mai. Due to fairly intense competition, if you book in advance you may be able to secure a single (one way) flight for as little as 1,500-2,500 baht (US$45-75), including taxes.
Various international carriers also operate flights to Chiang Mai from a number of locations within the region.
Car: There are two main routes to Chiang Mai from Bangkok.
Route 1 – From Bangkok, take Highway 1 (from Phahol Yothin Road) and then switch to Highway 32 (the Asian Highway), which will take you through the provinces of Ayutthaya and Ang Thong, then to Nakhon Sawan, where you should take Highway 117. This highway will take you to Phitsanulok, from where you should switch to Highway 11. Highway 11 will take you through Lampang, Lamphun and on to Chiang Mai.
The total distance covered using this route is 695 km.
Route 2 - Follow the route just described until you reach Nakhon Sawan. From Nakhon Sawan, take Highway 1, which will take you through Kamphaeng Phet, Tak, Lampang and then on to Chiang Mail.
The total distance covered using this route is 696 km.
Bus: Second class and first class air-conditioned buses leave for Chiang Mai daily (8 am-9 pm) from Bangkok's Northern Bus Terminal (Mochit 2 Bus Terminal). For precise times, call Tel: +66 (0)2 936 3600, +66 (0)2 936 2852, or +66 (0)2 937 8055.
Private buses, which can be booked at numerous hotels and other tourist-oriented locations in the capital, provide another alternative. Nevertheless, it should be noted that public buses operating from the Northern Bus Terminal are generally more reliable (according to Tourism Authority of Thailand [TAT]).
The journey takes approximately 10-12 hours, depending on traffic conditions.
Train: Express and rapid trains operated by the State Railways of Thailand (SRT) leave for Chiang Mai from Bangkok's main Hualamphong Station six times per day from 8 am-10 pm.
The trip takes about 11-12 hours for express trains.
For further information, contact the SRT on Tel. 1690, or +66 (0)2 220 4444. For further information on trains to Bangkok from Chiang Mai, call Chiang Mai Railway Station on Tel: +66 (0)53 24 2094, or +66 (0)53 244 795.
ที่มา : phrathraiyok@gmail.com
ออกกำลังกายตอนไหนดี
บทความจากสภากาชาดไทย
โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสกอักษรานุเคราะห์ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภากาชาดไทย
สมมุติว่า ตัวเราเป็นรถยนต์เครื่องยนต์ของเราคือกล้ามเนื้อ แขน ขา ที่จะทำให้เราเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อ ให้เครื่องยนต์ทำงานคนเราก็ต้องการอาหารเป็นพลังงานให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหนได้โดยเฉพาะใช้ออกกำลังกาย
ตื่นนอนเช้ารถยนต์และร่างกายเรา ไม่มีน้ำมันไม่มีพลังงานจำเป็น ต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินอาหารก่อนรถยนต์จะได้มีพลังงานวิ่ง ไปได้ คนเราจะได้มีพลังงานให้กล้ามเนื้อแขน ขาทำให้เราไปไหน มาไหนได้
รถยนต์ต่างกับร่างกายเราตรงที่พอเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว สามารถขับ รถไปได้ทันที แต่คนเราหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ยังไปออกกำลังกายไม่ได้ เพราะหลังกินอาหาร 2 ช.ม.จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อยที่ กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมากหลังจากอาหารถูกดูดซึมเข้ามาใน เลือดแล้วเลือดจะพาสารอาหารแจกจ่ายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆตอนนี้ เช่น วิ่งออกกำลัง ซึ่งต้องการเลือดมา เลี้ยงที่ขาที่ใช้วิ่ง 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมากองอยู่ที่ กระเพาะเป็นจำนวนมากบวกกับมาเลี้ยงที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าวทำให้ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้หน้ามืดเป็นลมหรือถ้าทำให้เลือด ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอเท่ากับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันถึงชีวิตได้ จึงห้ามเด็ดขาด ห้ามออกกำลังหลังกินอาหาร 2 ช.ม.เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ดูดซึม เข้าเลือดหมดแล้ว (2 ช.ม.)เลือดที่มารออยู่ที่กระเพาะก็จะกระจาย ไปหมดถึงตอนนี้จะวิ่งก็ปลอดภัย
ทีนี้คนตื่นนอนตอนเช้าแล้วมาออกกำลังเพราะตอนเช้าอากาศสดชื่น มลพิษก็น้อย อากาศเย็นร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน แต่คง ไม่มีใครกินอาหารก่อนออกกำลังแน่เท่ากับรถยนต์ไม่ได้เติมน้ำมัน รถยนต์จะวิ่งได้อย่างไรแต่คนออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกินอาหาร เพราะตอนเย็นกินอาหาร เสร็จเข้านอนไม่ได้ใช้พลังงานขณะที่นอน หลับ ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่นน้ำตาลเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน ไตรกรีเซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมันโปรตีนเปลี่ยนเป็น ฟอสฟาเจน เป็นต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆเมื่อตื่นนอนจึง ไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เท่ากับรถยนต์น้ำมันแห้งถังสภาพ นี้คนออกกำลังได้โดยตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ในที่ ต่างๆ ตอนนอนหลับ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่ จึงสามารถ ออกกำลังกายได้มาลองคิดดูตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอา สารอาหารไปเก็บ ตื่นตอนเช้าไปออกกำลังกายทันทีตับต้องดึงสาร อาหารที่เอาไปเก็บไว้เมื่อคืน ออกมาใช้ใหม่ ทำอย่างนี้บ่อยๆทุกวันๆ ตับจะต้องทำงานหนักแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะ ไม่ได้พักเลยเหมือนคนกินเหล้าแล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่าง ๆมาให้ แอลกอฮอลเผาผลาญ มาก ๆ เข้านาน ๆ เข้า ในตับมีแต่ไขมันกลายเป็นตับแข็ง
ทีนี้ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องกินอาหารเสียก่อน แต่ต้องรอถึง 2 ช.ม.จึงจะ ไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 เจ็ดโมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้จะ มีใครทำอย่างนี้บ้าง ฉะนั้น ฝรั่งจึงมีแต่คำว่าmorning walk ไม่เคยได้ยินmorning jogging เลย นั่นคือออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่นเดินก่อนเดิน ก็กินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช 1 ชิ้น กับโอวันติน 1 ถ้วยซึ่งจะใช้เวลาย่อย อาหารสัก 1/2 - 1 ช.ม. ก็พอ ก็จะไปเดินออกกำลังกายได้กินเล็กน้อยออก กำลังกายเบา ๆก็ใช้พลังงานน้อยที่กินมาแค่นี้ก็พอไหว
ลองพิจารณาการออกกำลังตอนเย็นบ้าง เรากินอาหารเช้าอาหารกลางวัน ตกเย็นรับรองว่าพลังงานยังเหลือเฟือ ขณะทำงานใช้ไปไม่หมดสามารถ ออกกำลังกายได้เลย เหมือนกับรถยนต์ น้ำมันยังไม่แห้งถังแต่จะให้ดีอาจ เติมอาหารเหมือนตอนเช้าอีกสักเล็กน้อย ก่อนไปออกกำลังจะทำให้ไม่รู้ สึกระโหย ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้ ข้อสำคัญเมื่อออกกำลัง ตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำโดยค่อย ๆ ดื่มจนรู้สึกอิ่มกลับถึงบ้านท่านจะ ไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีกและหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอนจะเหลือสารอาหารน้อยที่สุด ตับไม่ต้องทำงานมาก สารอาหารไม่มีไปเก็บตามที่ต่าง ๆจึงไม่ทำให้อ้วน และไม่มีสารอาหาร เหลือค้างในหลอดเลือดโดยเฉพาะไขมันจึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือด ได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกินยา ถ้าพิจารณาตรงนี้ ออกกำลังกายตอนเช้าหรือ ตอนเย็นจะเป็นการออกกำลังที่ทำให้สุขภาพทั่ว ๆ ไปดี(แอโรบิก) เท่า ๆ กันทั้งคู่ แต่การออกกำลังกายตอนเย็นโดยไม่ไปกินอาหารภายหลัง ยังจะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินตอนเช้าและตอนเที่ยง น้อยลงจนไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้ด้วย การออกกำลังกายตอน เย็นจึงได้ 2 ต่อ
จากงานวิจัยต่างประเทศ เร็ว ๆนี้ พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลงและการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้นดูในแง่นี้ถ้าไข้หวัดระบาด การออกกำลังกายตอนเย็นจะได้ 3 ต่อมีกรณีเดียวที่ออกกำลังกาย ตอนเช้าได้ประโยชน์คือ พวกที่มีภูมิต้านทานมากไปเช่นโรคภูมิแพ้ ได้แก่ หอบหืด แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือโรคพุ่มพวงดวงจันทร์ ออกกำลัง กายตอนเช้าช่วยลดภูมิต้านทาน จึงเท่ากับช่วยให้คน ๆ นั้นกินยาลดภูมิ ต้านทานน้อยลงได้
สรุปมาถึงแค่นี้ ท่านคงทราบแล้วนะครับว่าออกกำลังกายตอนเช้าหรือ ตอนเย็นดี มีข้อเสนออีกข้อหนึ่งคือออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอน เช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที–60 นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะ นอนไม่หลับ เพราะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที ขึ้นไป นี้ ร่างกายจะหลั่ง"เอนดอร์ฟีน" ออกมาซึ่งมีฤทธิ์คล้าย ๆ มอร์ฟีน ที่ใช้ฉีด ให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทำให้ง่วงนอนคลายความเจ็บปวด คลายเครียด ฉะนั้น ออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำแล้ว เข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิด ไม่ฝัน การนอนหลับสนิทนี้ท่านต้องการ การนอนเพียง 5 ช.ม. ก็ เพียงพอ จะทราบได้คือตอนทำงานกลางวัน จะไม่เพลีย ไม่ง่วง แสดงว่า นอนหลับสนิท 5 ช.ม.เพียงพอแล้ว นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมา พบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีอุบัติการ โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยกว่า พวกนอน 7-8 ช.ม.
ฉะนั้น การออกกำลังกายตอนเย็นหรือก่อนนอน ดีกว่าออกกำลังกายตอนเช้า เป็นคำตอบสุดท้าย
ที่มา : rodohus@gmail.com
โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสกอักษรานุเคราะห์ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภากาชาดไทย
สมมุติว่า ตัวเราเป็นรถยนต์เครื่องยนต์ของเราคือกล้ามเนื้อ แขน ขา ที่จะทำให้เราเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อ ให้เครื่องยนต์ทำงานคนเราก็ต้องการอาหารเป็นพลังงานให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหนได้โดยเฉพาะใช้ออกกำลังกาย
ตื่นนอนเช้ารถยนต์และร่างกายเรา ไม่มีน้ำมันไม่มีพลังงานจำเป็น ต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินอาหารก่อนรถยนต์จะได้มีพลังงานวิ่ง ไปได้ คนเราจะได้มีพลังงานให้กล้ามเนื้อแขน ขาทำให้เราไปไหน มาไหนได้
รถยนต์ต่างกับร่างกายเราตรงที่พอเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว สามารถขับ รถไปได้ทันที แต่คนเราหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ยังไปออกกำลังกายไม่ได้ เพราะหลังกินอาหาร 2 ช.ม.จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อยที่ กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมากหลังจากอาหารถูกดูดซึมเข้ามาใน เลือดแล้วเลือดจะพาสารอาหารแจกจ่ายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆตอนนี้ เช่น วิ่งออกกำลัง ซึ่งต้องการเลือดมา เลี้ยงที่ขาที่ใช้วิ่ง 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมากองอยู่ที่ กระเพาะเป็นจำนวนมากบวกกับมาเลี้ยงที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าวทำให้ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้หน้ามืดเป็นลมหรือถ้าทำให้เลือด ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอเท่ากับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันถึงชีวิตได้ จึงห้ามเด็ดขาด ห้ามออกกำลังหลังกินอาหาร 2 ช.ม.เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ดูดซึม เข้าเลือดหมดแล้ว (2 ช.ม.)เลือดที่มารออยู่ที่กระเพาะก็จะกระจาย ไปหมดถึงตอนนี้จะวิ่งก็ปลอดภัย
ทีนี้คนตื่นนอนตอนเช้าแล้วมาออกกำลังเพราะตอนเช้าอากาศสดชื่น มลพิษก็น้อย อากาศเย็นร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน แต่คง ไม่มีใครกินอาหารก่อนออกกำลังแน่เท่ากับรถยนต์ไม่ได้เติมน้ำมัน รถยนต์จะวิ่งได้อย่างไรแต่คนออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกินอาหาร เพราะตอนเย็นกินอาหาร เสร็จเข้านอนไม่ได้ใช้พลังงานขณะที่นอน หลับ ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่นน้ำตาลเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน ไตรกรีเซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมันโปรตีนเปลี่ยนเป็น ฟอสฟาเจน เป็นต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆเมื่อตื่นนอนจึง ไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เท่ากับรถยนต์น้ำมันแห้งถังสภาพ นี้คนออกกำลังได้โดยตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ในที่ ต่างๆ ตอนนอนหลับ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่ จึงสามารถ ออกกำลังกายได้มาลองคิดดูตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอา สารอาหารไปเก็บ ตื่นตอนเช้าไปออกกำลังกายทันทีตับต้องดึงสาร อาหารที่เอาไปเก็บไว้เมื่อคืน ออกมาใช้ใหม่ ทำอย่างนี้บ่อยๆทุกวันๆ ตับจะต้องทำงานหนักแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะ ไม่ได้พักเลยเหมือนคนกินเหล้าแล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่าง ๆมาให้ แอลกอฮอลเผาผลาญ มาก ๆ เข้านาน ๆ เข้า ในตับมีแต่ไขมันกลายเป็นตับแข็ง
ทีนี้ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องกินอาหารเสียก่อน แต่ต้องรอถึง 2 ช.ม.จึงจะ ไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 เจ็ดโมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้จะ มีใครทำอย่างนี้บ้าง ฉะนั้น ฝรั่งจึงมีแต่คำว่าmorning walk ไม่เคยได้ยินmorning jogging เลย นั่นคือออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่นเดินก่อนเดิน ก็กินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช 1 ชิ้น กับโอวันติน 1 ถ้วยซึ่งจะใช้เวลาย่อย อาหารสัก 1/2 - 1 ช.ม. ก็พอ ก็จะไปเดินออกกำลังกายได้กินเล็กน้อยออก กำลังกายเบา ๆก็ใช้พลังงานน้อยที่กินมาแค่นี้ก็พอไหว
ลองพิจารณาการออกกำลังตอนเย็นบ้าง เรากินอาหารเช้าอาหารกลางวัน ตกเย็นรับรองว่าพลังงานยังเหลือเฟือ ขณะทำงานใช้ไปไม่หมดสามารถ ออกกำลังกายได้เลย เหมือนกับรถยนต์ น้ำมันยังไม่แห้งถังแต่จะให้ดีอาจ เติมอาหารเหมือนตอนเช้าอีกสักเล็กน้อย ก่อนไปออกกำลังจะทำให้ไม่รู้ สึกระโหย ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้ ข้อสำคัญเมื่อออกกำลัง ตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำโดยค่อย ๆ ดื่มจนรู้สึกอิ่มกลับถึงบ้านท่านจะ ไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีกและหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอนจะเหลือสารอาหารน้อยที่สุด ตับไม่ต้องทำงานมาก สารอาหารไม่มีไปเก็บตามที่ต่าง ๆจึงไม่ทำให้อ้วน และไม่มีสารอาหาร เหลือค้างในหลอดเลือดโดยเฉพาะไขมันจึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือด ได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกินยา ถ้าพิจารณาตรงนี้ ออกกำลังกายตอนเช้าหรือ ตอนเย็นจะเป็นการออกกำลังที่ทำให้สุขภาพทั่ว ๆ ไปดี(แอโรบิก) เท่า ๆ กันทั้งคู่ แต่การออกกำลังกายตอนเย็นโดยไม่ไปกินอาหารภายหลัง ยังจะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินตอนเช้าและตอนเที่ยง น้อยลงจนไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้ด้วย การออกกำลังกายตอน เย็นจึงได้ 2 ต่อ
จากงานวิจัยต่างประเทศ เร็ว ๆนี้ พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลงและการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้นดูในแง่นี้ถ้าไข้หวัดระบาด การออกกำลังกายตอนเย็นจะได้ 3 ต่อมีกรณีเดียวที่ออกกำลังกาย ตอนเช้าได้ประโยชน์คือ พวกที่มีภูมิต้านทานมากไปเช่นโรคภูมิแพ้ ได้แก่ หอบหืด แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือโรคพุ่มพวงดวงจันทร์ ออกกำลัง กายตอนเช้าช่วยลดภูมิต้านทาน จึงเท่ากับช่วยให้คน ๆ นั้นกินยาลดภูมิ ต้านทานน้อยลงได้
สรุปมาถึงแค่นี้ ท่านคงทราบแล้วนะครับว่าออกกำลังกายตอนเช้าหรือ ตอนเย็นดี มีข้อเสนออีกข้อหนึ่งคือออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอน เช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที–60 นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะ นอนไม่หลับ เพราะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที ขึ้นไป นี้ ร่างกายจะหลั่ง"เอนดอร์ฟีน" ออกมาซึ่งมีฤทธิ์คล้าย ๆ มอร์ฟีน ที่ใช้ฉีด ให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทำให้ง่วงนอนคลายความเจ็บปวด คลายเครียด ฉะนั้น ออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำแล้ว เข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิด ไม่ฝัน การนอนหลับสนิทนี้ท่านต้องการ การนอนเพียง 5 ช.ม. ก็ เพียงพอ จะทราบได้คือตอนทำงานกลางวัน จะไม่เพลีย ไม่ง่วง แสดงว่า นอนหลับสนิท 5 ช.ม.เพียงพอแล้ว นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมา พบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีอุบัติการ โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยกว่า พวกนอน 7-8 ช.ม.
ฉะนั้น การออกกำลังกายตอนเย็นหรือก่อนนอน ดีกว่าออกกำลังกายตอนเช้า เป็นคำตอบสุดท้าย
ที่มา : rodohus@gmail.com
สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน
พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือ
เอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน,
ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ
ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่า
คุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลัง
และพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง
กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
]๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
โดย สุทธิชัย หยุ่น
ที่มา :
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...
ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือ
เอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน,
ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ
ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่า
คุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลัง
และพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง
กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด
และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
]๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
โดย สุทธิชัย หยุ่น
ที่มา :
10 วิธีถนอม กระดูกสันหลัง
มนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานวันนี้ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ทำงานนั่งหลังขดหลังแข็ง จนลืมดูแลพฤติกรรมตัวเองไปกันเกือบหมดแล้ว ส่งผลให้โครงสร้างร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกสันหลังที่เป็นเสาหลักของร่างกาย เป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททุกเส้น ที่ออกไปควบคุมการทำงานของร่างกายในทุกระบบ เพื่อให้ร่างกายไม่ถูกทำร้ายด้วยความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีวิธีการหลีกหนีความเสี่ยงที่จะทำร้ายกระดูกสันหลังจาก ซีเคร็ท เชพ เวลเนส เซ็นเตอร์ (Secret Shape Wellness Center)
1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้
3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ
5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง
8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
ปรับเปลี่ยนท่วงท่าการนั่ง ยืน เดิน นอน เพื่อยืดอายุการใช้งานของกระดูกสันหลัง
ที่มา : rodohus@gmail.com
1. การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด
2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้
3. การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มีอาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ
5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย
6. การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง
8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่าๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
9. การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อยๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ
10. การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
ปรับเปลี่ยนท่วงท่าการนั่ง ยืน เดิน นอน เพื่อยืดอายุการใช้งานของกระดูกสันหลัง
ที่มา : rodohus@gmail.com
ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่
อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุว่าปวดเพราะอะไร ทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดาน กดแล้วเจ็บ หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ
1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี
อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ
2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ
- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต
- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่
3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้
4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่
5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ ( ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ
6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ ( เหมือนข้อ 4)
7.. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก 9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้.
ที่มา : rodohus@gmail.com
ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย:ชีวจิต
1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี
อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ
2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ
- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต
- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่
3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้
4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่
5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ ( ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ
6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ ( เหมือนข้อ 4)
7.. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก 9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้.
ที่มา : rodohus@gmail.com
ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย:ชีวจิต
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ
อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก
อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้
2. มะเร็งในมดลูก
อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่
อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย )
อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็งปอด
อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ
อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง
อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก
อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ
อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก
อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังท?่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่
13. มะเร็งลำไส้
อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ **** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ ถึงท่าน ผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
ที่มา : nchaiyaban@hotmail.com
1. มะเร็งปากมดลูก
อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้
2. มะเร็งในมดลูก
อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่
อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย )
อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็งปอด
อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ
อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง
อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก
อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ
อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก
อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังท?่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่
13. มะเร็งลำไส้
อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ **** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ ถึงท่าน ผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
ที่มา : nchaiyaban@hotmail.com
10 กฎเหล็กแห่งการกิน สำหรับคนกลัวแก่
“You are what you eat”
…แต่จะกินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ และชะลอวัย ที่กำลังเริ่มร่วงโรย ให้ฟื้นกลับมากระชับสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และมีชีวิตชีวา
…ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแห่งศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging) อย่าง พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา กรรมการผู้จัดการสถาบันวัยวัฒน์และความงามเมดดิไซน์ (MEDISCI) เป็นผู้เคลียร์ประเด็นนี้ค่ะ
“เป็นบัญญัติ 10 ประการในการกินพิชิตแก่เลยล่ะกัน” คุณหมออัจจิมากล่าวในงานเสวนา “รู้จัก รู้ใจ สาววัย 40+” ที่จัดขึ้นโดยส่วนงาน Women Media Business ของบริษัท รักลูก กรุ๊ป
เรานำมาฝากท่านผู้อ่านที่รักความงามและห่วงสุขภาพดังนี้ค่ะ
กฎข้อที่ 1
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะร่างกายต้องนำไปใช้ในการทำงาน ทุกอันสำคัญหมด ไขมันก็สำคัญนะ เพราะอย่างน้อยร่างกายก็ต้องการไขมันประมาณ 7-10 % ของไขมันอิ่มตัว เพื่อเป็นคอเรสเตอรอล เพื่อใช้ในการสร้างฮอร์โมน
กฎข้อที่ 2
กินอาหารโดยแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ ประมาณ 5 มื้อ ได้แก่ มื้อหลัก 3 มื้อ เช้า เที่ยง เย็น และอาหารว่าง 2 มื้อเล็กๆ ช่วงสายและบ่าย การกินเป็นมื้อย่อยๆ 5 มื้อ เป็นการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เราจะได้ไม่มีภาวะต้านอินซูลิน
กฎข้อที่ 3
กินอาหารในปริมาณเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป อย่ากินจนอิ่มเกินไป กินให้พอดี เพราะยิ่งกินเยอะ ร่างกายก็จะเสื่อมเยอะ ควรกินปริมาณแคลลอรี่ให้พอดีกับที่เราจะใช้ทำงาน
กฎข้อที่ 4
เน้นกินผักและผลไม้หลากหลายสี เช่น สีแดง เขียว ส้ม เหลือง ม่วง แดง เพื่อได้รับสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลาย และไม่มีปัญหาในเรื่องภูมิแพ้อาหารด้วย
กฎข้อที่ 5
กินอาหารเช้าทุกวัน การกินอาหารเช้าสำคัญต่อการควบคุมความรู้สึกอยากอาหาร การตอบสนองร่างกายต่อฮอร์โมนอินซูลิน และกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย โดยอาหารเช้านั้นจะเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายเพื่อนำไปใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ และช่วยลดความรู้สึกหิว ทำให้กินอาหารในมื้อถัดไปลดลง ส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมนอินซูลินอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ
มีการศึกษาพบว่าผู้ที่กินอาหารเช้าทุกวัน จะมีโอกาสเกิดภาวะอ้วนและโรคเบาหวานน้อยกว่าผู้ที่งดอาหารเช้าถึง 35-50% และยังพบว่าการงดกินอาหารเช้านั้น นอกจากเสี่ยงต่อการเกิดภาวะอ้วนและโรคเบาหวานแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย
กฎข้อที่ 6
กินปลาทะเลเช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เพราะปลาเหล่านี้มี omega 3
กฎข้อที่ 7
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มน้ำอัดลม และแอลกอฮอล์
สมัยก่อนหมอไม่ค่อยดื่มน้ำ แต่จะดื่มแต่กาแฟ เพื่อให้อัพทั้งวัน ร่างกายก็จะเสื่อมเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ต้องปรับเยอะ จนตอนนี้ก็ไม่ดื่มกาแฟแล้ว มีพลังงานทั้งวัน โดยที่พลังงานไม่ตก ไม่ต้องใช้ตัวกระตุ้นจากกาแฟหรือโค้ก ชาเขียวกินได้ แต่อย่าเยอะ มีสารแอนตี้ ออกซิแดนท์ แต่ก็มีคาเฟอีนด้วย อะไรที่เยอะเกินไปไม่ดี เพราะกาแฟมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ แต่ว่าอย่าดื่มเยอะ อย่าใส่ครีมเทียม เพราะเป็นไขมันแปรรูป กาแฟที่ควรดื่มคือ กาแฟสด instance coffee นี่ผ่านการแปรรูปจนสารอาหารแทบไม่มีเหลือแล้ว
หมอขอเน้นอีกครั้งว่า ดื่มกาแฟได้นะ แต่อย่าเยอะ และอย่าดื่มเพื่อให้เป็นตัวกระตุ้นร่างกายให้ตื่น บางคนต้องใช้กาแฟเป็นตัวกระตุ้น เช่น ในกลุ่ม chronic fatigue syndrome เหนื่อย นอนไม่พอ ต้องใช้กาแฟกระตุ้น ทำให้ระบบอื่นเสีย ตับ ไต ร่างกายหลั่งคอร์ติซอลมาก ปัญหาก็จะตามมา
กฎข้อที่ 8
ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือการคำนวณน้ำหนักเราเป็นปอนด์ แล้วหารด้วย 2 ก็จะได้ปริมาณน้ำที่เราควรกิน
กฎข้อที่ 9
กินอาหารธรรมชาติและผ่านแปรรูปน้อยที่สุด พวกธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ถั่วต่างๆ และควรปรุงอาหารด้วยวิธีอบ นึ่ง ตุ๋น หลีกเลี่ยงอาหารฟาส์ตฟู้ดที่มีไขมันและแป้งสูง
พูดง่ายๆ คือ กินข้าวกล้องได้ตลอดยิ่งดี และกับข้าวก็แบบที่ทำง่ายๆ ต้ม ผัด ก็พอ
กฎข้อที่ 10
หลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่งด้วยผงชูรส สารกันบูด สารแต่งกลิ่น สี และรส เป็นไปได้ก็กินข้าวนอกบ้านให้น้อยที่สุด
เห็นได้ว่า กฎเหล็กทั้ง 10 ข้อนี้ไม่ยากเลยเพียงแต่เรียกร้อง ‘ความใจแข็ง’ และ ‘ความมีวินัย’ ให้กับตัวเองเท่านั้นเอง ! เอาใจช่วยค่ะ
อ้างจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์3 ธันวาคม 2552 10:17 น.
ที่มา : rodohus@gmail.com
…แต่จะกินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ และชะลอวัย ที่กำลังเริ่มร่วงโรย ให้ฟื้นกลับมากระชับสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และมีชีวิตชีวา
…ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแห่งศาสตร์ชะลอวัย (Anti-aging) อย่าง พญ.อัจจิมา สุวรรณจินดา กรรมการผู้จัดการสถาบันวัยวัฒน์และความงามเมดดิไซน์ (MEDISCI) เป็นผู้เคลียร์ประเด็นนี้ค่ะ
“เป็นบัญญัติ 10 ประการในการกินพิชิตแก่เลยล่ะกัน” คุณหมออัจจิมากล่าวในงานเสวนา “รู้จัก รู้ใจ สาววัย 40+” ที่จัดขึ้นโดยส่วนงาน Women Media Business ของบริษัท รักลูก กรุ๊ป
เรานำมาฝากท่านผู้อ่านที่รักความงามและห่วงสุขภาพดังนี้ค่ะ
กฎข้อที่ 1
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะร่างกายต้องนำไปใช้ในการทำงาน ทุกอันสำคัญหมด ไขมันก็สำคัญนะ เพราะอย่างน้อยร่างกายก็ต้องการไขมันประมาณ 7-10 % ของไขมันอิ่มตัว เพื่อเป็นคอเรสเตอรอล เพื่อใช้ในการสร้างฮอร์โมน
กฎข้อที่ 2
กินอาหารโดยแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ ประมาณ 5 มื้อ ได้แก่ มื้อหลัก 3 มื้อ เช้า เที่ยง เย็น และอาหารว่าง 2 มื้อเล็กๆ ช่วงสายและบ่าย การกินเป็นมื้อย่อยๆ 5 มื้อ เป็นการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ เราจะได้ไม่มีภาวะต้านอินซูลิน
กฎข้อที่ 3
กินอาหารในปริมาณเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป อย่ากินจนอิ่มเกินไป กินให้พอดี เพราะยิ่งกินเยอะ ร่างกายก็จะเสื่อมเยอะ ควรกินปริมาณแคลลอรี่ให้พอดีกับที่เราจะใช้ทำงาน
กฎข้อที่ 4
เน้นกินผักและผลไม้หลากหลายสี เช่น สีแดง เขียว ส้ม เหลือง ม่วง แดง เพื่อได้รับสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลาย และไม่มีปัญหาในเรื่องภูมิแพ้อาหารด้วย
กฎข้อที่ 5
กินอาหารเช้าทุกวัน การกินอาหารเช้าสำคัญต่อการควบคุมความรู้สึกอยากอาหาร การตอบสนองร่างกายต่อฮอร์โมนอินซูลิน และกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย โดยอาหารเช้านั้นจะเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายเพื่อนำไปใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ และช่วยลดความรู้สึกหิว ทำให้กินอาหารในมื้อถัดไปลดลง ส่งผลให้การหลั่งฮอร์โมนอินซูลินอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ
มีการศึกษาพบว่าผู้ที่กินอาหารเช้าทุกวัน จะมีโอกาสเกิดภาวะอ้วนและโรคเบาหวานน้อยกว่าผู้ที่งดอาหารเช้าถึง 35-50% และยังพบว่าการงดกินอาหารเช้านั้น นอกจากเสี่ยงต่อการเกิดภาวะอ้วนและโรคเบาหวานแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย
กฎข้อที่ 6
กินปลาทะเลเช่น ปลาทู ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เพราะปลาเหล่านี้มี omega 3
กฎข้อที่ 7
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มน้ำอัดลม และแอลกอฮอล์
สมัยก่อนหมอไม่ค่อยดื่มน้ำ แต่จะดื่มแต่กาแฟ เพื่อให้อัพทั้งวัน ร่างกายก็จะเสื่อมเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ต้องปรับเยอะ จนตอนนี้ก็ไม่ดื่มกาแฟแล้ว มีพลังงานทั้งวัน โดยที่พลังงานไม่ตก ไม่ต้องใช้ตัวกระตุ้นจากกาแฟหรือโค้ก ชาเขียวกินได้ แต่อย่าเยอะ มีสารแอนตี้ ออกซิแดนท์ แต่ก็มีคาเฟอีนด้วย อะไรที่เยอะเกินไปไม่ดี เพราะกาแฟมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ แต่ว่าอย่าดื่มเยอะ อย่าใส่ครีมเทียม เพราะเป็นไขมันแปรรูป กาแฟที่ควรดื่มคือ กาแฟสด instance coffee นี่ผ่านการแปรรูปจนสารอาหารแทบไม่มีเหลือแล้ว
หมอขอเน้นอีกครั้งว่า ดื่มกาแฟได้นะ แต่อย่าเยอะ และอย่าดื่มเพื่อให้เป็นตัวกระตุ้นร่างกายให้ตื่น บางคนต้องใช้กาแฟเป็นตัวกระตุ้น เช่น ในกลุ่ม chronic fatigue syndrome เหนื่อย นอนไม่พอ ต้องใช้กาแฟกระตุ้น ทำให้ระบบอื่นเสีย ตับ ไต ร่างกายหลั่งคอร์ติซอลมาก ปัญหาก็จะตามมา
กฎข้อที่ 8
ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือการคำนวณน้ำหนักเราเป็นปอนด์ แล้วหารด้วย 2 ก็จะได้ปริมาณน้ำที่เราควรกิน
กฎข้อที่ 9
กินอาหารธรรมชาติและผ่านแปรรูปน้อยที่สุด พวกธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ถั่วต่างๆ และควรปรุงอาหารด้วยวิธีอบ นึ่ง ตุ๋น หลีกเลี่ยงอาหารฟาส์ตฟู้ดที่มีไขมันและแป้งสูง
พูดง่ายๆ คือ กินข้าวกล้องได้ตลอดยิ่งดี และกับข้าวก็แบบที่ทำง่ายๆ ต้ม ผัด ก็พอ
กฎข้อที่ 10
หลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่งด้วยผงชูรส สารกันบูด สารแต่งกลิ่น สี และรส เป็นไปได้ก็กินข้าวนอกบ้านให้น้อยที่สุด
เห็นได้ว่า กฎเหล็กทั้ง 10 ข้อนี้ไม่ยากเลยเพียงแต่เรียกร้อง ‘ความใจแข็ง’ และ ‘ความมีวินัย’ ให้กับตัวเองเท่านั้นเอง ! เอาใจช่วยค่ะ
อ้างจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์3 ธันวาคม 2552 10:17 น.
ที่มา : rodohus@gmail.com
เปิดจุดแข็ง-จุดอ่อนของคน 12 ราศี
ราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม)
จุดเด่น
1. อ่านคนเก่ง มีลางสังหรณ์แม่นยำ
2. วางตัวดี ยากที่ใครอ่านออก
3. มีอารมณ์ขัน มีวาทศิลป์
4. มีความนอบน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโส
5. มีความซื่อตรงและยุติธรรม
6. รอบคอบ ละเอียดอ่อน
7. ใจบุญสุนทาน มีความรอบรู้ รักพ่อแม่พี่น้องมาก
8. เข้มแข็งแกร่งกล้า แม้จะเป็นคนอ่อนไหวง่าย
จุดด้อย
1. เจ็บปวดง่าย ยากจะลืมเลือนหรือให้อภัยคนที่ทำร้ายตน
2. ชอบผูกมิตรกับคนแต่ไม่ชอบคบใครจริงจัง
3. ชอบแสดงความสดใสร่าเริง ทั้งที่ในใจรู้สึกโดดเดี่ยว
4. ทนไม่ได้กับการวิพากษ์วิจารณ์หรือการดูถูก
5. ยึดมั่นในหน้าที่ จนไม่มีเวลาใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา
6. ใช้จ่ายเงินเก่ง
7. เชื่อว่าตนเองถูกเสมอ
ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
จุดเด่น
1. มีความเป็นเพื่อนให้ทุกคนอย่างไม่เลือก
2. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน มีจุดยืนที่มั่นคง
3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่เคยดับมอด
4. เด็ดเดี่ยว ไม่ท้อแท้
5. กล้าได้กล้าเสีย แก้ปัญหาเก่ง ไม่ตื่นตกใจง่าย
6. รู้จักกาลเทศะ
7. สร้างจุดสนใจได้ดีเสมอ สร้างความประทับใจให้กับทุกคน
8. สุขุมเยือกเย็น ไม่เคยทำอะไรสะเพร่า
จุดด้อย
1. ต่อต้านกฎเกณฑ์อย่างจริงจัง จนบางครั้งก้าวร้าว
2. ไม่ลงให้ใครง่ายๆ
3. ไม่แสดงความคิดเห็นของตน แต่เก็บเกี่ยวความคิดของผู้อื่น
4. ชอบเสี่ยง ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจเลย
5. ไม่ทนกับคนที่ตนคิดว่าไร้สาระ
6. ไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ แม้แต่จะทำสิ่งที่ดีๆให้กับคนที่ตนรัก
7. คาดหวังสูงกับความเป็นคนมีเสน่ห์และเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง
8. ชอบคิด ชอบวางแผน แต่ไม่ชอบลงมือทำ
ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
จุดเด่น
1. สามารถดึงเอาความเพ้อฝันมาใช้สร้างสรรค์ได้
2. ปรับตัวได้ดี รู้จักรอมชอม แม้จะฝืนใจตนเองบ้าง
3. วางตัวดี รู้จักพูดจา เป็นผู้ฟังที่ดี
4. ยินดีให้ความร่วมมือกับผู้อื่นแม้จะไม่เห็นชอบด้วยก็ตาม
5. ไม่เรียกร้องความโดดเด่น ไม่ยึดติดว่าตนต้องเป็นผู้นำ
6. มีความอดทน มีศักยภาพที่ไขว้คว้าความสำเร็จ
7. ฉลาดและรู้จักใช้โอกาส
จุดด้อย
1. อารมณ์เปราะบาง
2. สับสนและเครียดได้สูงเพียงเพราะอารมณ์อ่อนไหวของตน
3. ไม่กล้าทำในสิ่งที่ลึกๆ ปรารถนา
4. ชอบหลอกตัวเองไม่ยอมรับความจริง
5. พอใจที่จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการมากกว่าโลก แห่งความจริง
6. ชอบหนีปัญหาของตนเอง ทั้งที่สามารถให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาของผู้อื่นได้
7. ไม่ชอบงานหนักหรือภาวะที่บังคับให้ต้องรับผิดชอบสูง
8. ขาดมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับชีวิต
ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)
จุดเด่น
1. มีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ท้อถอยง่ายๆ
2. มีน้ำใจไมตรีต่อคนรอบข้าง
3. รู้จักสร้างความสดชื่นรื่นรมย์อยู่เสมอ
4. เป็นผู้นำที่ดี มีความยุติธรรมและซื่อตรงสูง
5. มีความคิดริเริ่มรักอิสระ
6. วางจุดหมายของตัวเองไว้ทุกระยะ
7. สนใจใฝ่รู้ มุ่งไปที่ความสำเร็จมากกว่าเงิน
8. กล้าสู้ปัญหา ยอมรับความกดดันได้ดี
จุดด้อย
1. เชื่อแต่ความคิดและมุมมองของตนเอง
2. หลงตนเองต้องการเป็นหนึ่งเสมอ
3. อยากควบคุมความคิดคนอื่น เผด็จการพอตัว
4. บางครั้งก้าวร้าวและไม่ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง
5. อ่านคนไม่เก่ง แต่ชอบแข่งขันและชอบเอาชนะ
6. กลัวคนไม่ยอมรับ
7. เก็บเงินไม่เก่ง
8. ไม่ค่อยอดทนไม่ชอบอยู่กับความซ้ำซากเป็นเวลานาน
ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
จุดเด่น
1. มีความบากบั่นสูง ยากที่จะยอมแพ้หรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเอง
2. เป็นคนมีจิตใจดี ให้เกียรติให้ความสำคัญแก่คนอื่นเสมอ
3. เป็นคนจริงใจ รักมั่นคง รักครอบครัวรักเพื่อนอย่างแท้จริง
4. สามารถเก็บความรู้สึกเกรี้ยวกราดไว้ได้ ยากที่จะแสดงออกว่าไม่พอใจใคร
5. สามารถจัดการชีวิตให้มีระเบียบวินัยอย่างพอเหมาะ
6. เป็นคนมีเหตุผล พูดจริง ทำจริง และไม่ไขว่คว้าในสิ่งที่เกินตัว
7. มักไตร่ตรองให้รอบคอบอยู่เสมอ
8. เป็นคนสุภาพนอบน้อม ไม่ใจร้อนวู่วาม
จุดด้อย
1. คิดและทำอะไรช้า
2. อยากทำตามความคิดตนมากกว่าจะเปลี่ยนแปลงเพราะฟังคนอื่น
3. โกธรได้ง่าย แต่หายยาก
4.ยอมทุ่มเทเงินทองให้กับสิ่งที่ชอบ
5. เจ้าระเบียบ ไม่ชอบให้ใครยุ่งกับคนของตน
6. ไม่ชอบที่จะให้เพื่อนพ้อง พี่น้องชื่นชมใครไปกว่าตน
ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 20 มิถุนายน)
จุดเด่น
1. มีความสดใสร่าเริง และมีอารมณ์ขันเสมอ
2. ช่างคิด ช่างสังเกต
3. ฉลาด คิดเร็วตัดสินใจเร็ว และไม่ชอบหยุดนิ่ง
4. ไหวพริบดี สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยต?เอง
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีความสามารถในการวางแผน
6. รักการเรียนรู้ สนุกที่จะหาประสบการณ์ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง
7. สามารถให้ความช่วยเหลือ คำปรึกษา คำแนะนำแก่คนรอบข้างได้
8. เก็บความรู้สึกดี มักไม่แสดงความรู้สึกโกรธออกมา
จุดด้อย
1. ขาดความมุ่งมั่นและไม่อดทน ไม่มีความหนักแน่น
2. ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตน
3. เป็นคนเบื่อง่าย ขาดความจริงจังทั้งที่เป็นคนมีความทะยาน
4. แม้จะเป็นคนคิดการณ์ไกล แต่ไม่ชอบที่จะทำ มักวางมือเสียง่ายๆ
5. กล้าคิด กล้าทำแต่จริงๆ แล้วขาดความรอบครอบ
6. ไม่ตรงต่อเวลานัก ไม่ต้องการความรับผิดชอบสูง
7. ขาดพลังในการควบคุมตน
ราศีกรกฎ (21 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
จุดเด่น
1. เป็นคนมีจิตใจดี ไม่เคยคิดเบียดเบียนทำร้ายใคร
2. สนใจเรื่องแสวงหาความมั่นคงในชีวิตความสำเร็จและความก้าวหน้ามากกว่าปล่อยชีวิตไปเรื่ื่อยๆ 3. รักบ้าน รักครอบครัว รักเพื่อน
4. มีความจำดี มีความรับผิดชอบสูง
5. ขยันขันแข็ง ไม่เหลวไหล
6. ยอมรับระบบระเบียบและกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง
7. ยืนหยัดตามลำพังได้ด้วยตัวของตัวเองหากต้องเผชิญกับปัญหา
8. มีความละเมียดละไม ใฝ่หาความสุนทรีในชีวิต
จุดด้อย
1. อ่อนไหวเกินไป เจ็บปวดง่าย เจ้าอารมณ์
2. ขาดเหตุผลเข้มงวดกับคนใกล้ตัวเกินไป
3. ช่างหวาดระแวงและวิตกกังวลเกินควร
4. บางครั้งก้าวร้าวเพราะยึดมั่นในความคิดของตนเกินไป
5. ควบคุมอารมณ์ไม่ได ้ทั้งที่ไม่คิดจะทำร้ายใครเลย
6. ไม่มีความกล้าได้กล้าเสี่ยงเท่าใด
7. มักมองโลกในแง่ร้ายและตัดสินใจเรื่องราวในแง่ลบเสมอ
ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)
จุดเด่น
1. เป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจ
2. ไม่ดึงตัวเองลงไปในความเครียด รู้จักสร้างความรื่นรมย์ให้ตนเองและคนรอบข้าง
3. เป็นคนที่มีระเบียบในการใช้ชีวิต
4. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
5. มีความมั่นอกมั่นใจและเป็นตัวเองสูง
6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าพูดกล้าทำ กล้าเสี่ยง
7. ไม่หวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง
8. ไม่ยอมล้มเหลวหรือพ่ายแพ้
จุดด้อย
1. บางครั้งทรนงจนไม่ยอมขอโทษ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด
2. ชอบให้ทุกคนยกย่อง เอาอกเอาใจ ต้องการการยอมรับมากไป
3. ให้ความสำคัญกับการเที่ยวเตร่มากกว่าการมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง
4. การเลือกคบคมมากเกินไปจนดูเหมือนดูถูกคนที่ต้อยต่ำกว่า
5. ชอบโอ้อวดและหน้าใหญ่ในบางครั้ง
6. วู่วามใจร้อนไร้เหตุผล
7. มักเห็นแก่ความต้องการของตนเป็นใหญ่เสมอ
8. กล้าคิดกล้าตัดสินใจแต่ขาดความรอบครอบ
ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน)
จุดเด่น
1. ซื่อสัตย์ภักดี มีความตั้งใจจริงไม่เอาเปรียบใคร
2. มีความรับผิดชอบสูง ควา?ตั้งใจสูง
3. ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักออมเงิน
4. เก่งกาจในการติดต่อสื่อสาร การคิด การวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียด
5. สามารถปรับตัวได้ไม่เบื่อหน่ายมีความอดทนสูง
6. เก่งด้านการจัดการ มีมาตรฐานในชีวิต
7. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน
จุดด้อย
1. ไม่เชื่อถือและไม่วางใจใครเหมือนกับที่คนอื่นวางใจตน
2. เข้มงวด เจ้าระเบียบ จุกจิกจู้จี้
3. มีความบากบั่นสูงแต่บางครั้งก็ดันทุรังโดยไร้เหตุผล
4. ด้วยความสามารถในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้บ่อยคร ั้งช่างตำหนิติเตียนผู้คน
5. มักมีลับลมคมนัยเก็บความรู้สึกและความคิดที่แท้จริงของตนไว้ไม่แสดงออกมา
6. มักหวังสิ่งตอบแทนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
7. เป็นคนเอาใจยาก
ราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม)
จุดเด่น
1. มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตของตนเอง รู้จักวางเป้าหมายและวางแผนอยุ่เสมอ
2. ดูแลชีวิตตนเองให้มีความสุขเสมอ
3. มีวาทศิลป์ มีคารมคมคาย รู้จักการเจรจาต่อรองได้เยี่ยม
4. ไม่ทำตัวขวางโลก
5. มีความเป็นผู้นำ
6. อ่อนโยน แคร์ความรู้สึกของผู้อื่น
7. มนุษย์พันธ์ดีเยี่ยม ค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนเอง
จุดด้อย
1. การตัดสินใจไม่เด็ดขาดเพราะมักเกิดการโลเล ไม่มั่นใจในตนเอง
2. ปรารถนาความเป็นหนึ่งมากจนเกินไป บางครั้งอาจผิดหวังและอิจฉาผู้อื่นได้
3. บางครั้งสุขุมเกินไปจนดูเหมือนเป็นคนเฉื่อยช้า
4. ยึดถือความถูกต้องเป็นใหญ่จนไม่ประนีประนอมให้เกิดความยืดหยุ่นบาง
5. มีความอ่อนไหวน้อยใจมากพอๆ กับความยโส
ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน)
จุดเด่น
1. เป็นคนมีระเบียบวินัยและวางมาตรฐานให้กับชีวิตของตนอย่างเคร่งครัด
2. ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในโลกส่วนตัวของตนเอง
3. มีความทรงจำเยี่ยม มีสมาธิดี มีความรับผิดชอบ
4. มีน้ำใจไมตรี ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ชอบการประจบ
5. เป็นคมมีไหวพริบ
6. รู้จักใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด
7. มีจุดยืนและเป้าหมายเด่นชัด
จุดด้อย
1. ค่อนข้างเข้มงวดกับตนเองและคนอื่นมากไป
2. บางครั้งดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในใจและยากที่จะไว้ใจใคร
3. โมโหร้าย หวาดระแวง ยากที่จะประนีประนอม
4. แม้จะไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ก็มักจะตอบโต้ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอย่างจริงจัง
5. สามารถที่จะลืมความอ่อนโยนกลายเป็นคนก้าวร้าวได้ถ้าไม่พอใจ
ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)
จุดเด่น
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน มีหลักปรัชญาในการดูแลชีวิต
2. มีอารมณ์ขันเสมอ ไม่เครียดง่าย
3. ปรับตัวได้ดีมองการณ์ไกล
4. กล้าเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่เสมอ
5. เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
6. ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง
จุดด้อย
1. เก่งหลายอย่างแต่ไม่มุ่งมั่นซะอย่าง
2. มักเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นจนท้อ
3. ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่เก่งเรื่องวางแผน
4. เก็บเงินไม่เก่ง
5.ทนไม่ได้หากถูกมองว่าไม่ชื่อตรง จะก้าวร้าวถ้าไม่ได้ดั่งใจ
6. บางครั้งใจแคบ ไม่รู้จักกาลเทศะ
7. ไว้ใจคนง่าย ชอบโต้คารม ชอบอวดความคิดตน
8. แม้ปัญญาดีแต่ขาดไหวพริบ
ขอบคุณข้อมูลจาก ประชาชาติธุรกิจ
ที่มา : rodohus@gmail.com
จุดเด่น
1. อ่านคนเก่ง มีลางสังหรณ์แม่นยำ
2. วางตัวดี ยากที่ใครอ่านออก
3. มีอารมณ์ขัน มีวาทศิลป์
4. มีความนอบน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโส
5. มีความซื่อตรงและยุติธรรม
6. รอบคอบ ละเอียดอ่อน
7. ใจบุญสุนทาน มีความรอบรู้ รักพ่อแม่พี่น้องมาก
8. เข้มแข็งแกร่งกล้า แม้จะเป็นคนอ่อนไหวง่าย
จุดด้อย
1. เจ็บปวดง่าย ยากจะลืมเลือนหรือให้อภัยคนที่ทำร้ายตน
2. ชอบผูกมิตรกับคนแต่ไม่ชอบคบใครจริงจัง
3. ชอบแสดงความสดใสร่าเริง ทั้งที่ในใจรู้สึกโดดเดี่ยว
4. ทนไม่ได้กับการวิพากษ์วิจารณ์หรือการดูถูก
5. ยึดมั่นในหน้าที่ จนไม่มีเวลาใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา
6. ใช้จ่ายเงินเก่ง
7. เชื่อว่าตนเองถูกเสมอ
ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
จุดเด่น
1. มีความเป็นเพื่อนให้ทุกคนอย่างไม่เลือก
2. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน มีจุดยืนที่มั่นคง
3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่เคยดับมอด
4. เด็ดเดี่ยว ไม่ท้อแท้
5. กล้าได้กล้าเสีย แก้ปัญหาเก่ง ไม่ตื่นตกใจง่าย
6. รู้จักกาลเทศะ
7. สร้างจุดสนใจได้ดีเสมอ สร้างความประทับใจให้กับทุกคน
8. สุขุมเยือกเย็น ไม่เคยทำอะไรสะเพร่า
จุดด้อย
1. ต่อต้านกฎเกณฑ์อย่างจริงจัง จนบางครั้งก้าวร้าว
2. ไม่ลงให้ใครง่ายๆ
3. ไม่แสดงความคิดเห็นของตน แต่เก็บเกี่ยวความคิดของผู้อื่น
4. ชอบเสี่ยง ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจเลย
5. ไม่ทนกับคนที่ตนคิดว่าไร้สาระ
6. ไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ แม้แต่จะทำสิ่งที่ดีๆให้กับคนที่ตนรัก
7. คาดหวังสูงกับความเป็นคนมีเสน่ห์และเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง
8. ชอบคิด ชอบวางแผน แต่ไม่ชอบลงมือทำ
ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
จุดเด่น
1. สามารถดึงเอาความเพ้อฝันมาใช้สร้างสรรค์ได้
2. ปรับตัวได้ดี รู้จักรอมชอม แม้จะฝืนใจตนเองบ้าง
3. วางตัวดี รู้จักพูดจา เป็นผู้ฟังที่ดี
4. ยินดีให้ความร่วมมือกับผู้อื่นแม้จะไม่เห็นชอบด้วยก็ตาม
5. ไม่เรียกร้องความโดดเด่น ไม่ยึดติดว่าตนต้องเป็นผู้นำ
6. มีความอดทน มีศักยภาพที่ไขว้คว้าความสำเร็จ
7. ฉลาดและรู้จักใช้โอกาส
จุดด้อย
1. อารมณ์เปราะบาง
2. สับสนและเครียดได้สูงเพียงเพราะอารมณ์อ่อนไหวของตน
3. ไม่กล้าทำในสิ่งที่ลึกๆ ปรารถนา
4. ชอบหลอกตัวเองไม่ยอมรับความจริง
5. พอใจที่จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการมากกว่าโลก แห่งความจริง
6. ชอบหนีปัญหาของตนเอง ทั้งที่สามารถให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาของผู้อื่นได้
7. ไม่ชอบงานหนักหรือภาวะที่บังคับให้ต้องรับผิดชอบสูง
8. ขาดมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับชีวิต
ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)
จุดเด่น
1. มีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ท้อถอยง่ายๆ
2. มีน้ำใจไมตรีต่อคนรอบข้าง
3. รู้จักสร้างความสดชื่นรื่นรมย์อยู่เสมอ
4. เป็นผู้นำที่ดี มีความยุติธรรมและซื่อตรงสูง
5. มีความคิดริเริ่มรักอิสระ
6. วางจุดหมายของตัวเองไว้ทุกระยะ
7. สนใจใฝ่รู้ มุ่งไปที่ความสำเร็จมากกว่าเงิน
8. กล้าสู้ปัญหา ยอมรับความกดดันได้ดี
จุดด้อย
1. เชื่อแต่ความคิดและมุมมองของตนเอง
2. หลงตนเองต้องการเป็นหนึ่งเสมอ
3. อยากควบคุมความคิดคนอื่น เผด็จการพอตัว
4. บางครั้งก้าวร้าวและไม่ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง
5. อ่านคนไม่เก่ง แต่ชอบแข่งขันและชอบเอาชนะ
6. กลัวคนไม่ยอมรับ
7. เก็บเงินไม่เก่ง
8. ไม่ค่อยอดทนไม่ชอบอยู่กับความซ้ำซากเป็นเวลานาน
ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
จุดเด่น
1. มีความบากบั่นสูง ยากที่จะยอมแพ้หรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเอง
2. เป็นคนมีจิตใจดี ให้เกียรติให้ความสำคัญแก่คนอื่นเสมอ
3. เป็นคนจริงใจ รักมั่นคง รักครอบครัวรักเพื่อนอย่างแท้จริง
4. สามารถเก็บความรู้สึกเกรี้ยวกราดไว้ได้ ยากที่จะแสดงออกว่าไม่พอใจใคร
5. สามารถจัดการชีวิตให้มีระเบียบวินัยอย่างพอเหมาะ
6. เป็นคนมีเหตุผล พูดจริง ทำจริง และไม่ไขว่คว้าในสิ่งที่เกินตัว
7. มักไตร่ตรองให้รอบคอบอยู่เสมอ
8. เป็นคนสุภาพนอบน้อม ไม่ใจร้อนวู่วาม
จุดด้อย
1. คิดและทำอะไรช้า
2. อยากทำตามความคิดตนมากกว่าจะเปลี่ยนแปลงเพราะฟังคนอื่น
3. โกธรได้ง่าย แต่หายยาก
4.ยอมทุ่มเทเงินทองให้กับสิ่งที่ชอบ
5. เจ้าระเบียบ ไม่ชอบให้ใครยุ่งกับคนของตน
6. ไม่ชอบที่จะให้เพื่อนพ้อง พี่น้องชื่นชมใครไปกว่าตน
ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 20 มิถุนายน)
จุดเด่น
1. มีความสดใสร่าเริง และมีอารมณ์ขันเสมอ
2. ช่างคิด ช่างสังเกต
3. ฉลาด คิดเร็วตัดสินใจเร็ว และไม่ชอบหยุดนิ่ง
4. ไหวพริบดี สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยต?เอง
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีความสามารถในการวางแผน
6. รักการเรียนรู้ สนุกที่จะหาประสบการณ์ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง
7. สามารถให้ความช่วยเหลือ คำปรึกษา คำแนะนำแก่คนรอบข้างได้
8. เก็บความรู้สึกดี มักไม่แสดงความรู้สึกโกรธออกมา
จุดด้อย
1. ขาดความมุ่งมั่นและไม่อดทน ไม่มีความหนักแน่น
2. ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตน
3. เป็นคนเบื่อง่าย ขาดความจริงจังทั้งที่เป็นคนมีความทะยาน
4. แม้จะเป็นคนคิดการณ์ไกล แต่ไม่ชอบที่จะทำ มักวางมือเสียง่ายๆ
5. กล้าคิด กล้าทำแต่จริงๆ แล้วขาดความรอบครอบ
6. ไม่ตรงต่อเวลานัก ไม่ต้องการความรับผิดชอบสูง
7. ขาดพลังในการควบคุมตน
ราศีกรกฎ (21 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
จุดเด่น
1. เป็นคนมีจิตใจดี ไม่เคยคิดเบียดเบียนทำร้ายใคร
2. สนใจเรื่องแสวงหาความมั่นคงในชีวิตความสำเร็จและความก้าวหน้ามากกว่าปล่อยชีวิตไปเรื่ื่อยๆ 3. รักบ้าน รักครอบครัว รักเพื่อน
4. มีความจำดี มีความรับผิดชอบสูง
5. ขยันขันแข็ง ไม่เหลวไหล
6. ยอมรับระบบระเบียบและกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง
7. ยืนหยัดตามลำพังได้ด้วยตัวของตัวเองหากต้องเผชิญกับปัญหา
8. มีความละเมียดละไม ใฝ่หาความสุนทรีในชีวิต
จุดด้อย
1. อ่อนไหวเกินไป เจ็บปวดง่าย เจ้าอารมณ์
2. ขาดเหตุผลเข้มงวดกับคนใกล้ตัวเกินไป
3. ช่างหวาดระแวงและวิตกกังวลเกินควร
4. บางครั้งก้าวร้าวเพราะยึดมั่นในความคิดของตนเกินไป
5. ควบคุมอารมณ์ไม่ได ้ทั้งที่ไม่คิดจะทำร้ายใครเลย
6. ไม่มีความกล้าได้กล้าเสี่ยงเท่าใด
7. มักมองโลกในแง่ร้ายและตัดสินใจเรื่องราวในแง่ลบเสมอ
ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)
จุดเด่น
1. เป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจ
2. ไม่ดึงตัวเองลงไปในความเครียด รู้จักสร้างความรื่นรมย์ให้ตนเองและคนรอบข้าง
3. เป็นคนที่มีระเบียบในการใช้ชีวิต
4. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
5. มีความมั่นอกมั่นใจและเป็นตัวเองสูง
6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าพูดกล้าทำ กล้าเสี่ยง
7. ไม่หวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง
8. ไม่ยอมล้มเหลวหรือพ่ายแพ้
จุดด้อย
1. บางครั้งทรนงจนไม่ยอมขอโทษ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด
2. ชอบให้ทุกคนยกย่อง เอาอกเอาใจ ต้องการการยอมรับมากไป
3. ให้ความสำคัญกับการเที่ยวเตร่มากกว่าการมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง
4. การเลือกคบคมมากเกินไปจนดูเหมือนดูถูกคนที่ต้อยต่ำกว่า
5. ชอบโอ้อวดและหน้าใหญ่ในบางครั้ง
6. วู่วามใจร้อนไร้เหตุผล
7. มักเห็นแก่ความต้องการของตนเป็นใหญ่เสมอ
8. กล้าคิดกล้าตัดสินใจแต่ขาดความรอบครอบ
ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน)
จุดเด่น
1. ซื่อสัตย์ภักดี มีความตั้งใจจริงไม่เอาเปรียบใคร
2. มีความรับผิดชอบสูง ควา?ตั้งใจสูง
3. ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักออมเงิน
4. เก่งกาจในการติดต่อสื่อสาร การคิด การวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียด
5. สามารถปรับตัวได้ไม่เบื่อหน่ายมีความอดทนสูง
6. เก่งด้านการจัดการ มีมาตรฐานในชีวิต
7. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน
จุดด้อย
1. ไม่เชื่อถือและไม่วางใจใครเหมือนกับที่คนอื่นวางใจตน
2. เข้มงวด เจ้าระเบียบ จุกจิกจู้จี้
3. มีความบากบั่นสูงแต่บางครั้งก็ดันทุรังโดยไร้เหตุผล
4. ด้วยความสามารถในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้บ่อยคร ั้งช่างตำหนิติเตียนผู้คน
5. มักมีลับลมคมนัยเก็บความรู้สึกและความคิดที่แท้จริงของตนไว้ไม่แสดงออกมา
6. มักหวังสิ่งตอบแทนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
7. เป็นคนเอาใจยาก
ราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม)
จุดเด่น
1. มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตของตนเอง รู้จักวางเป้าหมายและวางแผนอยุ่เสมอ
2. ดูแลชีวิตตนเองให้มีความสุขเสมอ
3. มีวาทศิลป์ มีคารมคมคาย รู้จักการเจรจาต่อรองได้เยี่ยม
4. ไม่ทำตัวขวางโลก
5. มีความเป็นผู้นำ
6. อ่อนโยน แคร์ความรู้สึกของผู้อื่น
7. มนุษย์พันธ์ดีเยี่ยม ค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนเอง
จุดด้อย
1. การตัดสินใจไม่เด็ดขาดเพราะมักเกิดการโลเล ไม่มั่นใจในตนเอง
2. ปรารถนาความเป็นหนึ่งมากจนเกินไป บางครั้งอาจผิดหวังและอิจฉาผู้อื่นได้
3. บางครั้งสุขุมเกินไปจนดูเหมือนเป็นคนเฉื่อยช้า
4. ยึดถือความถูกต้องเป็นใหญ่จนไม่ประนีประนอมให้เกิดความยืดหยุ่นบาง
5. มีความอ่อนไหวน้อยใจมากพอๆ กับความยโส
ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน)
จุดเด่น
1. เป็นคนมีระเบียบวินัยและวางมาตรฐานให้กับชีวิตของตนอย่างเคร่งครัด
2. ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในโลกส่วนตัวของตนเอง
3. มีความทรงจำเยี่ยม มีสมาธิดี มีความรับผิดชอบ
4. มีน้ำใจไมตรี ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ชอบการประจบ
5. เป็นคมมีไหวพริบ
6. รู้จักใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด
7. มีจุดยืนและเป้าหมายเด่นชัด
จุดด้อย
1. ค่อนข้างเข้มงวดกับตนเองและคนอื่นมากไป
2. บางครั้งดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในใจและยากที่จะไว้ใจใคร
3. โมโหร้าย หวาดระแวง ยากที่จะประนีประนอม
4. แม้จะไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ก็มักจะตอบโต้ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอย่างจริงจัง
5. สามารถที่จะลืมความอ่อนโยนกลายเป็นคนก้าวร้าวได้ถ้าไม่พอใจ
ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)
จุดเด่น
1. มีแนวคิดที่ชัดเจน มีหลักปรัชญาในการดูแลชีวิต
2. มีอารมณ์ขันเสมอ ไม่เครียดง่าย
3. ปรับตัวได้ดีมองการณ์ไกล
4. กล้าเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่เสมอ
5. เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
6. ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง
จุดด้อย
1. เก่งหลายอย่างแต่ไม่มุ่งมั่นซะอย่าง
2. มักเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นจนท้อ
3. ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่เก่งเรื่องวางแผน
4. เก็บเงินไม่เก่ง
5.ทนไม่ได้หากถูกมองว่าไม่ชื่อตรง จะก้าวร้าวถ้าไม่ได้ดั่งใจ
6. บางครั้งใจแคบ ไม่รู้จักกาลเทศะ
7. ไว้ใจคนง่าย ชอบโต้คารม ชอบอวดความคิดตน
8. แม้ปัญญาดีแต่ขาดไหวพริบ
ขอบคุณข้อมูลจาก ประชาชาติธุรกิจ
ที่มา : rodohus@gmail.com
ข้อคิดในแง่ของธรรมะ ๑๐๐ ข้อ
๑. จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม
๒. จงทำดี ให้มันดีถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดีเพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน
๔. อุปสรรคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดีดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป
๕. อุปสรรคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน
๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่รู้จักการทำความดี
๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า "ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ? ทำไม ?
๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ซึ่งไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา
๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย
๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว
๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต
๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ
๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย
๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว
๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน
๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี
๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวัน เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้
๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ก็ อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า
๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น
๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี
๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร
๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง
๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง
๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก
๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย
๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด
๒๘. แท้จริง ผัว ไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มีทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี
๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?
๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน
๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน
๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้
๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง
๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้
๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง
๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ
๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา
๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล
๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น
๔๑. เรายืนอยู่บนสนามชีวิต ต้องต่อสู้อุปสรรคทุกรูปแบบ จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต ด้วยการตายลงไป
๔๒. บทเรียนในตำราเรียน กับบทเรียนในชีวิตจริง มันคงละอย่างกัน
๔๓. ไม่มีตำราเล่มไหน ที่จะสอนเราทุกอย่างก้าวว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้าง และจะต้องแก้อย่างไร ?
๔๔. เสียเงินทอง เสียสิ่งของ เสียเวลา และก็เสียใจ เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต
๔๕. คนฉลาดจะจ่ายค่าเทอมที่ถูกที่สุด ส่วนคนโง่จะจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่ากัน
๔๖. ที่จริงคนตาบอด พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้
๔๗. ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า ?
๔๘. กายพิการ แต่ใจไม่พิการ ใจพิการ
๔๙. เราสามารถตัดสินหนทางดำเนินชีวิตของเราเองได้ ดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวของเรา
๕๐. คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลาส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น
๕๑. ถึงแม้งานจะสับสนยุ่งยากเหลือเกิน หากใจมีอิสระแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน
๕๒. ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ตายเพื่อทำหน้าที่ ดีกว่าตายเพราะไม่ทำหน้าที่
๕๓. รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบเพื่อนที่ดี และรับผิดชอบสังคม
๕๔. วันนี้เราด่าเขา วันหน้าเขาต้องด่าเรา
๕๕. คนทำบาป เพราะเห็นแก่กิน ไม่ต่างอะไรกับกินอาหารผสมยาพิษอย่างเอร็ดอร่อย กินมากก็มีพิษมา กินน้อยก็มีพิษน้อย
๕๖. กฎหมายทางโลก คุ้มครองสัตว์บางจำพวกเท่านั้น ส่วนกฎแห่งกรรมทางธรรม คุ้มครองสัตว์ทุกจำพวก
๕๗. กฎระเบียบของทางโลก อนุโลมไปตามความอยาก ส่วนกฎทางธรรมอนุโลมไปตามความเป็นจริง
๕๘. กรรมคือการกระทำให้สัตว์หยาบ และละเอียดประณีตต่างกัน
๕๙. ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะสร้างเราบริสุทธิ์ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราร่ำรวยได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราเป็นผู้ได้นอกจากตัวของเราเอง
๖๐. คำว่า "ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว"มากเหลือเกินที่คนได้ยิน น้อยเหลือเกินที่คนรู้จัก
๖๑. เหตุการณ์ความเป็นไปของทางโลกไม่มีสิ้นสุด เราไม่สามารถจะติดตามได้ตลอดกาลเพราะอายุยังมีที่สิ้นสุด เราจะบ้ากับมันหรือไม่บ้า มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น
๖๒. เพื่อมิให้เสียเวลา จงกลับมามองดูจิตใจของตนเอง ทำไมถึงซอกแซกสับส่ายถึงขนาดนั้น
๖๓. มันเคยตัว เพราะเราให้โอกาสมันมากเกินไป เพราะรักมันมาก จึงไม่กล้าขัดใจ นาน ๆ ไปอาจกลายเป็นโรควิกลจริตทางด้านจิตใจ
๖๔. การเอาชนะใจตนเอง ไม่ให้ไหลสู่อำนาจฝ่ายต่ำ เป็นสิ่งประเสริฐแท้
๖๕. วันนี้ เราตามใจของตนเองด้วยอำนาจแห่งความอยาก วันพรุ่งนี้ เราต้องหมดโอกาสที่จะสบายใจ
๖๖. วันนี้ เราไม่ตามใจตนเองพรุ่งนี้ เราจะอยู่อย่างสบาย
๖๗. ยิ่งแก่ ยิ่งงก เพราะเขางกมาตั้งแต่ยังไม่แก่ ยิ่งแก่ ยิ่งดี เพราะเขาดีตั้งแต่ยังไม่แก่
๖๘. การวิ่งไปตามความอยาก คือการฆ่าตนเองด้วยความพอใจ
๖๙. ศัตรูมักมาในรูปรอยแห่งความเป็นมิตร ความทุกข์มักมาในรูปรอยแห่งความสุข
๗๐. น้ำหวานผสมยาพิษ คนโง่จะชอบดื่ม เพราะไม่รู้ ยาเสพติด ทำลายร่างกายตนเอง คนโง่ก็จะพากันเสพทั้งที่รู้
๗๑. ความสบายกายและสบายจิตจะหาซื้อด้วยเงินแสนเงินล้านไม่มีเลย ไม่จำเป็นจะต้องซื้อด้วยเงินและทอง
๗๒. คนที่มีศรัทธามีคุณค่ายิ่งกว่าเงินแสนเงินล้าน
๗๓. เมื่อมีศรัทธา ควรมีปัญญาประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล
๗๔. คนนิยมสร้างพุทธที่เป็นรูป คือพุทธรูป แต่ไม่นิยมสร้างพุทธ ที่เป็นนาม คือสภาวธรรมที่รู้แจ้ง รู้จริง ทำให้รู้จักพุทธะ
๗๕. ความจริงต้องมีให้พิสูจน์จึงจะถือว่าจริงแน่นอน คนโง่จะไม่เชื่อตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่พบกับความจริงในชีวิต มีแต่ความงมงายในชีวิต
๗๖. คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระคนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด เขาจะไม่พบแก่นสารชีวิตที่แท้จริงเลย
๗๗. ผู้ที่หลงเปลือกนอก ย่อมไม่เห็นแก่นใน ผู้ถึงแก่นใน ย่อมเข้าใจเปลือกนอก
๗๘. ความสนุกสนานมัวเมาประมาทในชีวิต ไม่ใช่หนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง มันเป็นหนทางที่ทำให้เสียเวลา
๗๙. หากคนให้ความสำคัญกับการ กิน เล่น เสพกามและนอน มากกว่าคุณธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่ดีกว่ากันหรือ ? เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม
๘๐. หากจิตใจเต็มด้วยความโลภ โกรธ หลง ช่องว่างในหัวใจไม่มี มีแต่ความอึดอัด
๘๑. อาหารที่กินเข้าไปมาก แสนจะอึดอัด แต่มีทางระบายออก
๘๒. ยิ่งความโลภ โกรธ หลง ลดลงมากเท่าไร ความปลอดโปร่ง ยิ่งมีขึ้นมากเท่านั้น
๘๓. แสงสว่างในทางธรรม จุดประกายให้ชีวิต ให้พบแต่ความสดใส
๘๔. ความสุขทางโลกเหมือนกับการเกาขอบปากแผลที่คัน ยิ่งเกายิ่งมัน เวลาหยุดเกา มันแสบมันคัน เพราะเป็นความสุขเกิดจากความเร่าร้อน
๘๕. เมื่อตอนที่อยากได้ ก็เป็นทุกข์ขณะที่แสวงหา ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้วกลัวฉิบหายไป ก็เป็นทุกข์
๘๖. เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ต้องมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ย่อมไม่มี
๘๗. หากมีแล้ว ทำให้มีความสุข ควรมี ถ้าหากมีแล้ว ทำให้มีความทุกข์ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม ?
๘๘. ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นความไม่เที่ยงนั้นว่าความสุข
๘๙. แม้ความสุขนั้นมันก็ไม่เที่ยง จะไปหวังเอาอะไรอีกเล่า ?
๙๐. พบกันก็เพื่อจากกันได้มาก็เพื่อจากไป
๙๑. มองทุกข์ให้เห็นทุกข์ จึงจะมีความสุข
๙๒. ความเบาใจ คลายกังวล ย่อมมีได้ แก่บุคคลผู้เข้าใจธรรมะ
๙๓. ยิ่งเข้าถึงธรรมที่เป็นจริงมากเท่าใด ความเบาสบายใจยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
๙๔. เพราะความสุขทางโลก ไม่ให้อะไรมากไปกว่าความเพลิดเพลิน มัวเมา ประมาทในชีวิต จนลืมทางธรรม
๙๕. ทางเดิน ๒ ทาง ทางโลก และ ทางธรรม
๙๖. ทางโลก คือการปล่อยใจไปตามความอยากในโลกีย์ ทางธรรม คือการควบคุมใจตนเอง ให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง
๙๗. ผิดหวังทางโลก ยังมีทางธรรมคุ้มครอง หากคนนั้นรู้จักธรรม
๙๘. ผิดหวังทางโลก อยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งตนเอง คนนั้นแหละ ไม่รู้จักธรรม
๙๙. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่น
๑๐๐. มันเป็นเช่นนั้นเอง.
ที่มา : rodohus@gmail.com
อ้างจาก : naruphol/Dhamma board Zone IT
๒. จงทำดี ให้มันดีถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดีเพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน
๔. อุปสรรคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดีดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป
๕. อุปสรรคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน
๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่รู้จักการทำความดี
๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า "ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ? ทำไม ?
๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ซึ่งไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา
๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย
๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว
๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต
๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ
๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย
๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว
๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน
๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี
๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวัน เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้
๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ก็ อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า
๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น
๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี
๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร
๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง
๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง
๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก
๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย
๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด
๒๘. แท้จริง ผัว ไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มีทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี
๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?
๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน
๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน
๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้
๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง
๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้
๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง
๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ
๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา
๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล
๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น
๔๑. เรายืนอยู่บนสนามชีวิต ต้องต่อสู้อุปสรรคทุกรูปแบบ จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต ด้วยการตายลงไป
๔๒. บทเรียนในตำราเรียน กับบทเรียนในชีวิตจริง มันคงละอย่างกัน
๔๓. ไม่มีตำราเล่มไหน ที่จะสอนเราทุกอย่างก้าวว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้าง และจะต้องแก้อย่างไร ?
๔๔. เสียเงินทอง เสียสิ่งของ เสียเวลา และก็เสียใจ เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต
๔๕. คนฉลาดจะจ่ายค่าเทอมที่ถูกที่สุด ส่วนคนโง่จะจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่ากัน
๔๖. ที่จริงคนตาบอด พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้
๔๗. ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า ?
๔๘. กายพิการ แต่ใจไม่พิการ ใจพิการ
๔๙. เราสามารถตัดสินหนทางดำเนินชีวิตของเราเองได้ ดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวของเรา
๕๐. คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลาส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น
๕๑. ถึงแม้งานจะสับสนยุ่งยากเหลือเกิน หากใจมีอิสระแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน
๕๒. ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ตายเพื่อทำหน้าที่ ดีกว่าตายเพราะไม่ทำหน้าที่
๕๓. รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบเพื่อนที่ดี และรับผิดชอบสังคม
๕๔. วันนี้เราด่าเขา วันหน้าเขาต้องด่าเรา
๕๕. คนทำบาป เพราะเห็นแก่กิน ไม่ต่างอะไรกับกินอาหารผสมยาพิษอย่างเอร็ดอร่อย กินมากก็มีพิษมา กินน้อยก็มีพิษน้อย
๕๖. กฎหมายทางโลก คุ้มครองสัตว์บางจำพวกเท่านั้น ส่วนกฎแห่งกรรมทางธรรม คุ้มครองสัตว์ทุกจำพวก
๕๗. กฎระเบียบของทางโลก อนุโลมไปตามความอยาก ส่วนกฎทางธรรมอนุโลมไปตามความเป็นจริง
๕๘. กรรมคือการกระทำให้สัตว์หยาบ และละเอียดประณีตต่างกัน
๕๙. ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะสร้างเราบริสุทธิ์ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราร่ำรวยได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราเป็นผู้ได้นอกจากตัวของเราเอง
๖๐. คำว่า "ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว"มากเหลือเกินที่คนได้ยิน น้อยเหลือเกินที่คนรู้จัก
๖๑. เหตุการณ์ความเป็นไปของทางโลกไม่มีสิ้นสุด เราไม่สามารถจะติดตามได้ตลอดกาลเพราะอายุยังมีที่สิ้นสุด เราจะบ้ากับมันหรือไม่บ้า มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น
๖๒. เพื่อมิให้เสียเวลา จงกลับมามองดูจิตใจของตนเอง ทำไมถึงซอกแซกสับส่ายถึงขนาดนั้น
๖๓. มันเคยตัว เพราะเราให้โอกาสมันมากเกินไป เพราะรักมันมาก จึงไม่กล้าขัดใจ นาน ๆ ไปอาจกลายเป็นโรควิกลจริตทางด้านจิตใจ
๖๔. การเอาชนะใจตนเอง ไม่ให้ไหลสู่อำนาจฝ่ายต่ำ เป็นสิ่งประเสริฐแท้
๖๕. วันนี้ เราตามใจของตนเองด้วยอำนาจแห่งความอยาก วันพรุ่งนี้ เราต้องหมดโอกาสที่จะสบายใจ
๖๖. วันนี้ เราไม่ตามใจตนเองพรุ่งนี้ เราจะอยู่อย่างสบาย
๖๗. ยิ่งแก่ ยิ่งงก เพราะเขางกมาตั้งแต่ยังไม่แก่ ยิ่งแก่ ยิ่งดี เพราะเขาดีตั้งแต่ยังไม่แก่
๖๘. การวิ่งไปตามความอยาก คือการฆ่าตนเองด้วยความพอใจ
๖๙. ศัตรูมักมาในรูปรอยแห่งความเป็นมิตร ความทุกข์มักมาในรูปรอยแห่งความสุข
๗๐. น้ำหวานผสมยาพิษ คนโง่จะชอบดื่ม เพราะไม่รู้ ยาเสพติด ทำลายร่างกายตนเอง คนโง่ก็จะพากันเสพทั้งที่รู้
๗๑. ความสบายกายและสบายจิตจะหาซื้อด้วยเงินแสนเงินล้านไม่มีเลย ไม่จำเป็นจะต้องซื้อด้วยเงินและทอง
๗๒. คนที่มีศรัทธามีคุณค่ายิ่งกว่าเงินแสนเงินล้าน
๗๓. เมื่อมีศรัทธา ควรมีปัญญาประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล
๗๔. คนนิยมสร้างพุทธที่เป็นรูป คือพุทธรูป แต่ไม่นิยมสร้างพุทธ ที่เป็นนาม คือสภาวธรรมที่รู้แจ้ง รู้จริง ทำให้รู้จักพุทธะ
๗๕. ความจริงต้องมีให้พิสูจน์จึงจะถือว่าจริงแน่นอน คนโง่จะไม่เชื่อตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่พบกับความจริงในชีวิต มีแต่ความงมงายในชีวิต
๗๖. คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระคนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด เขาจะไม่พบแก่นสารชีวิตที่แท้จริงเลย
๗๗. ผู้ที่หลงเปลือกนอก ย่อมไม่เห็นแก่นใน ผู้ถึงแก่นใน ย่อมเข้าใจเปลือกนอก
๗๘. ความสนุกสนานมัวเมาประมาทในชีวิต ไม่ใช่หนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง มันเป็นหนทางที่ทำให้เสียเวลา
๗๙. หากคนให้ความสำคัญกับการ กิน เล่น เสพกามและนอน มากกว่าคุณธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่ดีกว่ากันหรือ ? เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม
๘๐. หากจิตใจเต็มด้วยความโลภ โกรธ หลง ช่องว่างในหัวใจไม่มี มีแต่ความอึดอัด
๘๑. อาหารที่กินเข้าไปมาก แสนจะอึดอัด แต่มีทางระบายออก
๘๒. ยิ่งความโลภ โกรธ หลง ลดลงมากเท่าไร ความปลอดโปร่ง ยิ่งมีขึ้นมากเท่านั้น
๘๓. แสงสว่างในทางธรรม จุดประกายให้ชีวิต ให้พบแต่ความสดใส
๘๔. ความสุขทางโลกเหมือนกับการเกาขอบปากแผลที่คัน ยิ่งเกายิ่งมัน เวลาหยุดเกา มันแสบมันคัน เพราะเป็นความสุขเกิดจากความเร่าร้อน
๘๕. เมื่อตอนที่อยากได้ ก็เป็นทุกข์ขณะที่แสวงหา ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้วกลัวฉิบหายไป ก็เป็นทุกข์
๘๖. เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ต้องมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ย่อมไม่มี
๘๗. หากมีแล้ว ทำให้มีความสุข ควรมี ถ้าหากมีแล้ว ทำให้มีความทุกข์ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม ?
๘๘. ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นความไม่เที่ยงนั้นว่าความสุข
๘๙. แม้ความสุขนั้นมันก็ไม่เที่ยง จะไปหวังเอาอะไรอีกเล่า ?
๙๐. พบกันก็เพื่อจากกันได้มาก็เพื่อจากไป
๙๑. มองทุกข์ให้เห็นทุกข์ จึงจะมีความสุข
๙๒. ความเบาใจ คลายกังวล ย่อมมีได้ แก่บุคคลผู้เข้าใจธรรมะ
๙๓. ยิ่งเข้าถึงธรรมที่เป็นจริงมากเท่าใด ความเบาสบายใจยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
๙๔. เพราะความสุขทางโลก ไม่ให้อะไรมากไปกว่าความเพลิดเพลิน มัวเมา ประมาทในชีวิต จนลืมทางธรรม
๙๕. ทางเดิน ๒ ทาง ทางโลก และ ทางธรรม
๙๖. ทางโลก คือการปล่อยใจไปตามความอยากในโลกีย์ ทางธรรม คือการควบคุมใจตนเอง ให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง
๙๗. ผิดหวังทางโลก ยังมีทางธรรมคุ้มครอง หากคนนั้นรู้จักธรรม
๙๘. ผิดหวังทางโลก อยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งตนเอง คนนั้นแหละ ไม่รู้จักธรรม
๙๙. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่น
๑๐๐. มันเป็นเช่นนั้นเอง.
ที่มา : rodohus@gmail.com
อ้างจาก : naruphol/Dhamma board Zone IT
ความแตกต่างระหว่างเพื่อนกับแฟน
ระหว่างเพื่อนกะแฟน...
++ อาหาร ++
เพื่อน: ข้าวราดแกง / ก๋วยเตี๋ยว ราคาไม่เกิน 30แดกไรแพงๆวะ เปลืองชิบ
แฟน: กินอะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่ข้าว - สปาเกตตี้ เฟรนฟรายซ์ ซูชิ ฯลฯ สั่ง กันไป… มื้อละร้อยขึ้น
++ ข้ามถนน ++
แฟน: ข้ามได้มั้ย ระวัง นะครับ! จับมือผมไว้
เพื่อน: ………อ้าว! เหี้ย… รอกูด้วย(แม่งข้ามไป นานละ)
++ เวลาเดิน ++
แฟน: แนบชิดประหนึ่งตัวดูดแบบสุญญากาศ
เพื่อน: เฮ้ย! ไปไกลๆกูหน่อยดิ ร้อนจะตาย ห่า!!
++ บนรถเมล์ ++
แฟน: นั่งก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมยืนเอง
เพื่อน: เหยิบหน่อยดิวะ กูจะนั่งด้วย!
++ เงิน ++
แฟน: มีเสมอ..จ่ายไม่ อั้น
เพื่อน: ไม่มีเสมอ... มึงออกไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูให้(แร้วแม่งก็ชิ่ง)
++ มาสาย ++
แฟน: ไม่เป็นไรครับ ผม รอได้
เพื่อน: ทำห่าไรอยู่วะ มาโคตรช้าเลย สาด ...เลี้ยงข้าวกูเลย(เพิ่งจะมาก่อนแม่ง ได้ 5 นาที เหมือนกัน)
++ ช่วยทำธุระ ++
แฟน: ว่างเสมอ - อ๋อ ว่าง ครับ จะให้ไปถึงที่นั่นกี่โมงดี จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า
เพื่อน: ไม่เคยว่าง - ขนของย้ายห้องเหรอวะ .. เออ... ที่จริงก็ได้นะ แต่พอดีแม่กูให้ช่วยพาไปหาญาติๆฝ่ายแม่ ว่ะ แล้วบ่ายๆต้องไปหาของฝ่ายพ่อ อีก คงไม่ว่างแล้วละ
++ กลับบ้าน ดึก ++
แฟน: เดี๋ยวผมนั่งรถไปส่งดีกว่านะ กลับคนเดียว อันตราย
เพื่อน: กลับยังไงวะมึง มีค่ารถป่าว แต่ กูไม่มีให้ยืมนะเว้ย
++ ป่วย ++
แฟน: เป็นไรมาก มั้ย? กินยายังคับ ห่มผ้าด้วยนะ(แม่งดูแลแม่อย่าง นี้ป่าววะ)
เพื่อน: เป็นห่าไรอีกวะ สำออยอะดิ มึง… ออกมาให้ไวเลย แดกเหล้ากัน
++ สอน หนังสือ ++
แฟน: ไม่เข้าใจตรงไหนบอกนะ ครับ จะอธิบายให้ใหม่
เพื่อน: กูสอน มึง 3 รอบแล้วนะ ห่านี่ แดกหมาแทนข้าวไงวะ
++ วาเลนไทน์ ++
แฟน: ให้คุณได้ทุกอย่าง ยกเว้น ดาว เดือน และ ขนหน้าอก
เพื่อน: ……………(วันนี้มันไม่มีตัว ตน)
++ โดนทิ้ง ++
แฟน: เราไปกันไม่ได้ / อย่ามายุ่ง กับเรา / ไปไหนก็ไปรำคาญ (so sad)
เพื่อน: ไม่ เป็นไรเว้ย! ช่างแม่ง … มึงยังมีกู อยู่
ที่มา : rodohus@gmail.com
++ อาหาร ++
เพื่อน: ข้าวราดแกง / ก๋วยเตี๋ยว ราคาไม่เกิน 30แดกไรแพงๆวะ เปลืองชิบ
แฟน: กินอะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่ข้าว - สปาเกตตี้ เฟรนฟรายซ์ ซูชิ ฯลฯ สั่ง กันไป… มื้อละร้อยขึ้น
++ ข้ามถนน ++
แฟน: ข้ามได้มั้ย ระวัง นะครับ! จับมือผมไว้
เพื่อน: ………อ้าว! เหี้ย… รอกูด้วย(แม่งข้ามไป นานละ)
++ เวลาเดิน ++
แฟน: แนบชิดประหนึ่งตัวดูดแบบสุญญากาศ
เพื่อน: เฮ้ย! ไปไกลๆกูหน่อยดิ ร้อนจะตาย ห่า!!
++ บนรถเมล์ ++
แฟน: นั่งก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมยืนเอง
เพื่อน: เหยิบหน่อยดิวะ กูจะนั่งด้วย!
++ เงิน ++
แฟน: มีเสมอ..จ่ายไม่ อั้น
เพื่อน: ไม่มีเสมอ... มึงออกไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูให้(แร้วแม่งก็ชิ่ง)
++ มาสาย ++
แฟน: ไม่เป็นไรครับ ผม รอได้
เพื่อน: ทำห่าไรอยู่วะ มาโคตรช้าเลย สาด ...เลี้ยงข้าวกูเลย(เพิ่งจะมาก่อนแม่ง ได้ 5 นาที เหมือนกัน)
++ ช่วยทำธุระ ++
แฟน: ว่างเสมอ - อ๋อ ว่าง ครับ จะให้ไปถึงที่นั่นกี่โมงดี จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า
เพื่อน: ไม่เคยว่าง - ขนของย้ายห้องเหรอวะ .. เออ... ที่จริงก็ได้นะ แต่พอดีแม่กูให้ช่วยพาไปหาญาติๆฝ่ายแม่ ว่ะ แล้วบ่ายๆต้องไปหาของฝ่ายพ่อ อีก คงไม่ว่างแล้วละ
++ กลับบ้าน ดึก ++
แฟน: เดี๋ยวผมนั่งรถไปส่งดีกว่านะ กลับคนเดียว อันตราย
เพื่อน: กลับยังไงวะมึง มีค่ารถป่าว แต่ กูไม่มีให้ยืมนะเว้ย
++ ป่วย ++
แฟน: เป็นไรมาก มั้ย? กินยายังคับ ห่มผ้าด้วยนะ(แม่งดูแลแม่อย่าง นี้ป่าววะ)
เพื่อน: เป็นห่าไรอีกวะ สำออยอะดิ มึง… ออกมาให้ไวเลย แดกเหล้ากัน
++ สอน หนังสือ ++
แฟน: ไม่เข้าใจตรงไหนบอกนะ ครับ จะอธิบายให้ใหม่
เพื่อน: กูสอน มึง 3 รอบแล้วนะ ห่านี่ แดกหมาแทนข้าวไงวะ
++ วาเลนไทน์ ++
แฟน: ให้คุณได้ทุกอย่าง ยกเว้น ดาว เดือน และ ขนหน้าอก
เพื่อน: ……………(วันนี้มันไม่มีตัว ตน)
++ โดนทิ้ง ++
แฟน: เราไปกันไม่ได้ / อย่ามายุ่ง กับเรา / ไปไหนก็ไปรำคาญ (so sad)
เพื่อน: ไม่ เป็นไรเว้ย! ช่างแม่ง … มึงยังมีกู อยู่
ที่มา : rodohus@gmail.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)