บทความจากสภากาชาดไทย
โดยศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสกอักษรานุเคราะห์ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภากาชาดไทย
สมมุติว่า ตัวเราเป็นรถยนต์เครื่องยนต์ของเราคือกล้ามเนื้อ แขน ขา ที่จะทำให้เราเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อ ให้เครื่องยนต์ทำงานคนเราก็ต้องการอาหารเป็นพลังงานให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหนได้โดยเฉพาะใช้ออกกำลังกาย
ตื่นนอนเช้ารถยนต์และร่างกายเรา ไม่มีน้ำมันไม่มีพลังงานจำเป็น ต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินอาหารก่อนรถยนต์จะได้มีพลังงานวิ่ง ไปได้ คนเราจะได้มีพลังงานให้กล้ามเนื้อแขน ขาทำให้เราไปไหน มาไหนได้
รถยนต์ต่างกับร่างกายเราตรงที่พอเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว สามารถขับ รถไปได้ทันที แต่คนเราหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ยังไปออกกำลังกายไม่ได้ เพราะหลังกินอาหาร 2 ช.ม.จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อยที่ กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมากหลังจากอาหารถูกดูดซึมเข้ามาใน เลือดแล้วเลือดจะพาสารอาหารแจกจ่ายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆตอนนี้ เช่น วิ่งออกกำลัง ซึ่งต้องการเลือดมา เลี้ยงที่ขาที่ใช้วิ่ง 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมากองอยู่ที่ กระเพาะเป็นจำนวนมากบวกกับมาเลี้ยงที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าวทำให้ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้หน้ามืดเป็นลมหรือถ้าทำให้เลือด ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอเท่ากับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันถึงชีวิตได้ จึงห้ามเด็ดขาด ห้ามออกกำลังหลังกินอาหาร 2 ช.ม.เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ดูดซึม เข้าเลือดหมดแล้ว (2 ช.ม.)เลือดที่มารออยู่ที่กระเพาะก็จะกระจาย ไปหมดถึงตอนนี้จะวิ่งก็ปลอดภัย
ทีนี้คนตื่นนอนตอนเช้าแล้วมาออกกำลังเพราะตอนเช้าอากาศสดชื่น มลพิษก็น้อย อากาศเย็นร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน แต่คง ไม่มีใครกินอาหารก่อนออกกำลังแน่เท่ากับรถยนต์ไม่ได้เติมน้ำมัน รถยนต์จะวิ่งได้อย่างไรแต่คนออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกินอาหาร เพราะตอนเย็นกินอาหาร เสร็จเข้านอนไม่ได้ใช้พลังงานขณะที่นอน หลับ ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่นน้ำตาลเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน ไตรกรีเซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมันโปรตีนเปลี่ยนเป็น ฟอสฟาเจน เป็นต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆเมื่อตื่นนอนจึง ไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เท่ากับรถยนต์น้ำมันแห้งถังสภาพ นี้คนออกกำลังได้โดยตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ในที่ ต่างๆ ตอนนอนหลับ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่ จึงสามารถ ออกกำลังกายได้มาลองคิดดูตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอา สารอาหารไปเก็บ ตื่นตอนเช้าไปออกกำลังกายทันทีตับต้องดึงสาร อาหารที่เอาไปเก็บไว้เมื่อคืน ออกมาใช้ใหม่ ทำอย่างนี้บ่อยๆทุกวันๆ ตับจะต้องทำงานหนักแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะ ไม่ได้พักเลยเหมือนคนกินเหล้าแล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่าง ๆมาให้ แอลกอฮอลเผาผลาญ มาก ๆ เข้านาน ๆ เข้า ในตับมีแต่ไขมันกลายเป็นตับแข็ง
ทีนี้ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องกินอาหารเสียก่อน แต่ต้องรอถึง 2 ช.ม.จึงจะ ไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 เจ็ดโมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้จะ มีใครทำอย่างนี้บ้าง ฉะนั้น ฝรั่งจึงมีแต่คำว่าmorning walk ไม่เคยได้ยินmorning jogging เลย นั่นคือออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่นเดินก่อนเดิน ก็กินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช 1 ชิ้น กับโอวันติน 1 ถ้วยซึ่งจะใช้เวลาย่อย อาหารสัก 1/2 - 1 ช.ม. ก็พอ ก็จะไปเดินออกกำลังกายได้กินเล็กน้อยออก กำลังกายเบา ๆก็ใช้พลังงานน้อยที่กินมาแค่นี้ก็พอไหว
ลองพิจารณาการออกกำลังตอนเย็นบ้าง เรากินอาหารเช้าอาหารกลางวัน ตกเย็นรับรองว่าพลังงานยังเหลือเฟือ ขณะทำงานใช้ไปไม่หมดสามารถ ออกกำลังกายได้เลย เหมือนกับรถยนต์ น้ำมันยังไม่แห้งถังแต่จะให้ดีอาจ เติมอาหารเหมือนตอนเช้าอีกสักเล็กน้อย ก่อนไปออกกำลังจะทำให้ไม่รู้ สึกระโหย ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้ ข้อสำคัญเมื่อออกกำลัง ตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำโดยค่อย ๆ ดื่มจนรู้สึกอิ่มกลับถึงบ้านท่านจะ ไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีกและหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอนจะเหลือสารอาหารน้อยที่สุด ตับไม่ต้องทำงานมาก สารอาหารไม่มีไปเก็บตามที่ต่าง ๆจึงไม่ทำให้อ้วน และไม่มีสารอาหาร เหลือค้างในหลอดเลือดโดยเฉพาะไขมันจึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือด ได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกินยา ถ้าพิจารณาตรงนี้ ออกกำลังกายตอนเช้าหรือ ตอนเย็นจะเป็นการออกกำลังที่ทำให้สุขภาพทั่ว ๆ ไปดี(แอโรบิก) เท่า ๆ กันทั้งคู่ แต่การออกกำลังกายตอนเย็นโดยไม่ไปกินอาหารภายหลัง ยังจะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินตอนเช้าและตอนเที่ยง น้อยลงจนไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้ด้วย การออกกำลังกายตอน เย็นจึงได้ 2 ต่อ
จากงานวิจัยต่างประเทศ เร็ว ๆนี้ พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลงและการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้นดูในแง่นี้ถ้าไข้หวัดระบาด การออกกำลังกายตอนเย็นจะได้ 3 ต่อมีกรณีเดียวที่ออกกำลังกาย ตอนเช้าได้ประโยชน์คือ พวกที่มีภูมิต้านทานมากไปเช่นโรคภูมิแพ้ ได้แก่ หอบหืด แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือโรคพุ่มพวงดวงจันทร์ ออกกำลัง กายตอนเช้าช่วยลดภูมิต้านทาน จึงเท่ากับช่วยให้คน ๆ นั้นกินยาลดภูมิ ต้านทานน้อยลงได้
สรุปมาถึงแค่นี้ ท่านคงทราบแล้วนะครับว่าออกกำลังกายตอนเช้าหรือ ตอนเย็นดี มีข้อเสนออีกข้อหนึ่งคือออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอน เช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที–60 นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะ นอนไม่หลับ เพราะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที ขึ้นไป นี้ ร่างกายจะหลั่ง"เอนดอร์ฟีน" ออกมาซึ่งมีฤทธิ์คล้าย ๆ มอร์ฟีน ที่ใช้ฉีด ให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทำให้ง่วงนอนคลายความเจ็บปวด คลายเครียด ฉะนั้น ออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำแล้ว เข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิด ไม่ฝัน การนอนหลับสนิทนี้ท่านต้องการ การนอนเพียง 5 ช.ม. ก็ เพียงพอ จะทราบได้คือตอนทำงานกลางวัน จะไม่เพลีย ไม่ง่วง แสดงว่า นอนหลับสนิท 5 ช.ม.เพียงพอแล้ว นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมา พบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีอุบัติการ โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยกว่า พวกนอน 7-8 ช.ม.
ฉะนั้น การออกกำลังกายตอนเย็นหรือก่อนนอน ดีกว่าออกกำลังกายตอนเช้า เป็นคำตอบสุดท้าย
ที่มา : rodohus@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น