วิธีการจัดเป้สำหรับเดินป่า และยามฉุกเฉิน


เรื่องโดย หญิงเหล็ก

ก่อนอื่น เราควรจะคิดถึงสิ่งที่ควรจะเอาใส่เป้ไปด้วยเวลาไปเดินป่า ว่าควรจะมีอะไรไป บ้าง ซึ่งของใช้จำเป็นในการเดินป่าทุกครั้ง พอจะแบ่งออกได้ตามประเภทต่างๆ ดังนี้
- ถุงนอน
- เต็นท์หรือเปล
- เสื้อผ้า (ปกติเวลาเดินอยู่ในป่าเรามักจะต้องการแค่ชุดที่ใส่ตอนนอนอีกเพียงชุดเดียว ส่วนตอน กลางวันที่เดินป่าก็มักจะใส่ชุดเดิม แต่สำหรับบางคนที่ทนกลิ่นตัวเองไม่ไหว อาจจะเอาเสื้อผ้า สำรองเข้าไปเปลี่ยนในแต่ละวันด้วยก็ได้
– นอกจากนี้ ควรจะเตรียมชุดต่างหากอีกชุดเอาไว้ใส่ ในวันกลับ)
- อาหาร อุปกรณ์ทำครัว และเชื้อเพลิง
- ของใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ แชมพู ผ้าเช็ดตัว ผ้าถุง ผ้าขาวม้า และยาแก้แพ้ต่างๆ
- ของใช้อื่นๆ เช่น ไฟฉาย เสื้อกันฝน น้ำดื่ม ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น เข็มทิศ ถุงพลาสติกหรือถุง ดำใบใหญ่ๆ นกหวีด (มีประโยชน์มากในกรณีที่หลงทาง) และของขบเคี้ยวระหว่างทาง (ซึ่งส่วนใหญ่มักจะนิยมช็อกโกแล็ตหรือขนมที่ช่วยให้พลังงาน)
- อาหารสำรอง ซึ่งอาจจะเป็นขนมปังหรืออะไรเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ให้รับประทานในขณะที่ยังอยู่ ในป่า ควรจะเก็บเอาไว้จนถึงวันสุดท้ายของการเดินทาง ที่เราแน่ใจว่าจะกลับออกมาข้างนอกได้ แล้ว เผื่อเอาไว้หากมีกรณีฉุกเฉินที่ทำให้ไม่สามารถออกจากป่าได้ตามที่กำหนดไว้ และอาหารที่ เตรียมไปอาจจะหมดก่อนที่จะสามารถออกจากป่าได้ เช่น หลงป่า หรือมีน้ำป่าทำให้ต้องอยู่ในป่า เกินเวลาที่กำหนดไว้

เมื่อรู้ว่าควรจะนำอะไรติดตัวเข้าไปในป่าแล้ว เราก็มาดูวิธีการจัดเป้กันว่าควรจะวางอะไร ไว้ตรงไหนบ้าง หลักการง่ายๆ อย่างแรกก็คือ วางของที่คิดว่าจะใช้ทีหลังสุดไว้ล่างสุด สำหรับนักเดินป่ามือใหม่ก็คงจะสงสัยว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะใช้อะไรตอนไหน ลองจินตนาการดูง่าย ๆ โดยไล่ไปตั้งแต่เช้าจรดเย็น สิ่งที่เราจะใช้เป็นสิ่งสุดท้ายก็ควรจะเป็นถุงนอน เพราะกว่าจะนอนได้ ก็ต้องเดินไปถึงจุดหมายที่ตั้งแค้มป์แล้ว ถุงนอนจึงเป็นสิ่งที่มักจะวางไว้ส่วนล่างสุดของเป้ และเป้ โครงในรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็มักจะมีช่องแยกต่างหากไว้ให้เก็บถุงนอนไว้ด้านล่างด้วยเช่นกัน

ข้อควรจำอีกอย่างสำหรับการเดินป่าในเมืองไทยคือ ทุกครั้งที่จัดของลงเป้ เพื่อความปลอดภัย เราควรจะใส่ของทุกอย่างในถุงพลาสติกอีกชั้นก่อนที่จะใส่ลงในเป้ เพราะสมัยนี้ เมืองไทยฝนตกแทบ ทั้งปี ไม่ว่าจะเดินป่าฤดูไหน หรือถึงแม้จะไม่มีฝนตก บางครั้งการเดินป่าก็จำเป็นจะต้องมีการเดินข้ามน้ำ หรือปีนป่ายตามน้ำตกบ้าง หรือแม้กระทั่งน้ำค้างในตอนเช้า การห่อหุ้มของใช้ต่างๆ ในถุงพลาสติกอีกชั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น และไม่ได้ทำให้น้ำหนักของกระเป๋าหนักขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้าม หากไม่ได้ใส่ของต่างๆ ในถุงพลาสติกแล้ว เกิดกระเป๋าของเรามีอันเป็นไป แอบหนีไปนอนเล่นในน้ำ หรือมีฝนตกระหว่างเดิน ทั้งเป้ทั้งของในเป้ก็คงเปียกหมด ทีนี้ล่ะ คงจะได้น้ำหนักส่วนเกินเพิ่มขึ้นมา อย่างหลีกไม่ได้แน่นอน

ตัวอย่างการจัดของในเป้ตัวอย่างการจัดของในเป้
อุปกรณ์ต่อมาก็คือ เต็นท์หรือเปลและฟรายชีท ซึ่งส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นถุงยาวๆ โดยปรกติ เราจะนำเปลและฟรายชีทใส่รวมกันและนำมาวางไว้ในเป้ต่อจากเสื้อผ้า ส่วนเต๊นท์บางครั้งเราอาจจะแยก พวกโครงของเต๊นท์ออกมาและมัดเอาไว้ด้านนอกกระเป๋า ซึ่งควรจะมัดให้สมดุลและแน่น ไม่โคลงเคลง ไปมาทำให้เป็นอุปสรรคในการเดินได้

จากนั้นก็ควรจะเก็บอุปกรณ์ทำครัวต่างๆ เอาไว้ในบริเวณกลางเป้ และเป็นตำแหน่งที่ใกล้กับส่วน หลังของเรา โดยอาจจะหุ้มไว้ด้วยเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์เบาๆ อื่นๆ เพื่อป้องกันการกระแทกอีกด้วย เพราะ การจัดเป้ที่ดีนั้น ควรจะวางของที่มีน้ำหนักมากไว้บริเวณที่ใกล้กับกลางหลังของเราหรือค่อนไปทางด้านบน ของเป้ ซึ่งจะเป็นจุดที่รับน้ำหนักได้ดี และไม่ทำให้เสียการทรงตัวหรือกระเป๋าส่ายไปมาในระหว่างเดิน

ต่อมา ก็คือการเก็บอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวต่างๆ เช่น พวกเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว สบู่ และแชมพูเป็นต้น ส่วนของใช้อื่นๆ นั้น อาจจะจำเป็นต้องหยิบขึ้นมาใช้ระหว่างการเดินทาง เช่น ไฟฉาย เสื้อกันฝน หรือชุดปฐมพยาบาล ควรจะเก็บไว้ด้านบนที่สามารถหยิบออกมาได้ง่าย เป้ส่วนใหญ่จะมีช่องเก็บของบริเวณฝากระเป๋าด้านบน จึงสามารถจะใส่ของจุกจิกพวกนี้ไว้ได้ สำหรับน้ำดื่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นตลอดการเดินทาง ก็ควรจะแยกเก็บไว้ที่กระเป๋าด้านนอกหรือบริเวณที่สามารถหยิบออกมาได้ง่ายเช่นกัน

สำหรับขั้นตอนในการสะพายเป้ให้กระชับและคล่องตัวที่สุดนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ โดยแรกสุดก่อนที่จะสะพายเป้ ก็ควรจะผ่อนสายรัดต่างๆ ออกให้หลวมเสียก่อน จากนั้นเมื่อสะพายเป้ขึ้นบ่าแล้วจึงเริ่มจากการปรับสายรัดสะโพกให้กระชับพอดี ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป แล้วจึงปรับสายของที่สะพายบ่า โดยดึงปลายสายลงพร้อมกันทั้งสองข้าง ให้รู้สึกว่ากระชับพอดี ไม่อึดอัด แล้วจึงดึงสายปรับระดับตัวเป้ที่เชื่อมระหว่างที่สะพายบ่ากับตัวเป้ทั้งสองข้างพร้อมกัน ให้กระชับเพื่อความคล่องตัวในเวลาเดินเพียงเท่านี้ คุณก็จะสามารถเดินป่าได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่การทรมานร่างกายเหมือนที่บางคนเคยประสบมา

เลือกซื้อรถสำหรับคนเกิดวันเสาร์

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเทา สีดำ เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีฟ้า สีน้ำเงินเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีชมพู สีโอโรสเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
*
สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเขียวทุกชนิด (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันเสาร์
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันเสาร์
*
อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเทา สีดำ เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
*
สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 , 68และอายุย่าง 77 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีฟ้า สีน้ำเงิน
*
และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
*
ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

เลือกซื้อรถสำหรับคนเกิดวันศุกร์

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อนเพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีชมพู และสีโอโรสเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีแสด สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์ทอง เป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
*
สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเทา สีดำ สีควันบุหรี่ (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันศุกร์
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันศุกร์
*
อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68 และ 77 ปีห้ามซื้อรถสีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
*
สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 , 69 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีชมพู สีโอโรส
*
และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์ทอง และสีแสด เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
*
ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

เลือกซื้อรถสำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีแดงเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีเขียวเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
*
สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีดำ สีม่วง (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพฤหัสบดี
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพฤหัสบดี
*
อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
*
สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 , 69และอายุย่าง 78 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีแดง
*
และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีเขียวทุกชนิด เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
*
ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

เลือกซื้อรถสำหรับคนเกิดวันพุธ (ตอนกลางคืน)

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีแดง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อนเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีดำ สีม่วงเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
*
สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีเหลืองแก่ สีบรอนซ์เงิน สีแสด (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางคืน)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางคืน)
*
อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68และ 77 ปีห้ามซื้อรถสีแดง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
*
สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 และอายุ 69 สีที่ห้ามซื้อคือสีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงินและสีเหลืองอ่อน
*
และช่วงอายุย่าง 22 , 31 , 40 ,49 ,58 และ 67ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีม่วง เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
*
ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

เลือกซื้อรถสำหรับคนเกิดวันพุธ (กลางวัน)

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีดำ สีเทาเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์ทอง สีเหลืองอ่อนเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
*
สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีชมพู สีโอโรส (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางวัน)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันพุธ(กลางวัน)
*
อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเหลืองแก่ สีแสด และสีบรอนซ์ทอง เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
*
สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีดำ , สีเทา
*
และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีขาว สีขาวนวล สีบรอนซ์เงิน สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
*
ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

เลือกซื้อรถสำหรับคนเกิดวันอังคาร

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีดำ หรือสีม่วง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีเหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทองเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีแดงเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
*
สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีบรอนซ์เงิน สีขาว สีเหลืองอ่อน เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอังคาร
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันอังคาร
*
อายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีดำและสีม่วง เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอังคาร
*
สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีหลืองแก่ สีแสด สีบรอนซ์ทอง
*
และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีแดง เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
*
ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

เลือกซื้อรถสำหรับคนเกิดวันจันทร์

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีเขียว หรือสีแดง เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีดำ สีม่วงเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีฟ้า สีน้ำเงินเป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี
*
สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีแดง (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต)
นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันจันทร์
*
ช่วงอายุย่าง 22 , 31 , 40 , 49 , 58 และ 67 ปีห้ามซื้อรถสีเขียวทุกชนิด เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง
*
สำหรับช่วงอายุย่าง 23 , 32 , 41 ,50 ,59 และ 68 ปี สีที่ห้ามซื้อคือสีดำ , สีม่วง
*
และช่วงอายุย่าง 26 , 35 , 44 , 53 , 62 , 71 และ 80 ขึ้นไป สีที่ห้ามซื้อคือ สีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน
*
ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด ยกเว้นสีแดงสีเดียว

เลือกซื้อรถสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์

สีที่เป็นมงคล ควรเป็นสีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นเดช อำนาจ และบารมี สีเขียวเป็นสีแห่งโชคลาภเงินทอง หรือสีดำ สีเทา สีควันบุหรี่เป็นสีของมนตรี มีคนคอยช่วยเหลือ ผู้ใหญ่สนับสนุนดี

สีอื่นๆไม่ดีและไม่เสีย (ธรรมดา) สีที่ต้องห้าม คือ สีฟ้า สีน้ำเงิน (เป็นสีที่อัปมงคลตลอดชีวิต) เพราะเป็นสีที่เป็นกาลกินีของบุคคลที่เกิดวันอาทิตย์ นอกจากนี้แล้ว บุคคลที่เกิดวันวันอาทิตย์

อายุย่าง 23 , 32 , 41 , 50 , 59 , 68และอายุ 77 ปีห้ามซื้อรถสีชมพู สีโอโรส เพราะเป็นสีที่โชคร้ายในช่วงอายุที่ย่างมาถึง

สำหรับช่วงอายุย่าง 24 , 33 , 42 ,51 ,60 ,และ 69 สีที่ห้ามซื้อคือสีเขียวทุกชนิด

และช่วงอายุย่าง 18 , 27 , 36 ,45 ,54 , 63 และ 72ปี สีที่ห้ามซื้อคือ สีดำ สีเทา สีควันบุหรี่ เพราะเป็นสีที่โชคร้าย ในช่วงอายุที่มาถึงเช่นกัน

ถ้าไม่ใช่อายุจรที่ย่างมาถึงดังกล่าวข้างต้นก็สามารถเลือกซื้อสีที่เป็นมงคลได้ตลอด

ทักษิโณมิค

คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร ประชาชาติธุรกิจ หน้า 2 วันที่ 15 ธันวาคม 2546 ปีที่ 27 ฉบับที่ 3540 (2740)

ปี 2546 นี้ เป็นปีที่เศรษฐกิจของเราได้ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน เพราะอัตราการขยายตัวของรายได้ประชาชาติ คงจะตกอยู่ระหว่างร้อยละ 6.5 ถึงร้อยละ 7 ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณ 5-6 พันล้านเหรียญสหรัฐ อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าร้อยละ 2 ค่าเงินบาทแข็งขึ้นประมาณร้อยละ 10 ทั้งที่ทางการพยายามดึงไว้ไม่ให้แข็งอย่างเต็มที่แล้ว ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 41 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ชำระหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ จำนวน 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐหมดก่อนกำหนด

การคาดการณ์ว่าปีหน้าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จะขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าปีนี้ ด้วยปัจจัยบวกที่ต่อเนื่องจากปีนี้ และปัจจัยบวกอย่างอื่นอีก เป็นไปได้ที่อัตราการขยายตัวของรายได้ประชาชาติอาจจะถึงร้อยละ 8 จึงเป็นเรื่องที่น่าจะวิเคราะห์และจดเอาไว้เป็นหลักฐานว่า เหตุใดเศรษฐกิจจึงฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และคงจะต่อเนื่องเป็นเศรษฐกิจขาขึ้นไปอีกหลายปี

นโยบายของรัฐบาลทักษิณ แตกต่างกับนโยบายของรัฐบาลก่อนหน้านั้นอย่างไร จนกลายเป็น "ทักษิโณมิค" ที่สื่อมวลชนไทยและเทศตั้งให้

ประการแรก การกระตุ้นเศรษฐกิจ นโยบายของทักษิณแจ้งชัดกว่า นโยบายของรัฐบาลที่แล้ว กล่าวคือ รัฐบาลนี้ประกาศว่าจะเป็นนโยบาย "รางคู่" และมีมาตรการที่ชัดเจนตั้งแต่ตอนหาเสียงเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้ง กล่าวคือ จะกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน โดยกระจายทรัพยากรทางการเงิน ไปสู่ประชาชนระดับ "รากหญ้า" คงจะแปลมาจากภาษาอังกฤษ "grass root" ผ่านทางโครงการต่างๆ ขณะเดียวกันจะผลักดันเรื่องการส่งออก และการท่องเที่ยวเพื่อนำเงินเข้ามาในประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศนั้น ต่างกับตำราเศรษฐศาสตร์ของเคนส์ ซึ่งรัฐบาลที่แล้วนำเอามาใช้ โดยใช้นโยบายการคลัง และเป็นการแนะนำของไอเอ็มเอฟ กล่าวคือ ใช้จ่ายจากการตั้งงบประมาณขาดดุล เพื่อทำโครงการต่างๆ หรือไม่ก็ยืมเงินจากต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ยืมจากกองทุนมิยาซาวา หรือจากธนาคารโลกเพื่อการปรับโครงสร้าง (stractural adjustment loan) โดยวิธีการตั้งงบประมาณ ให้หน่วยงานจัดซื้อของ หรือโครงการก่อสร้างในชนบท

การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยวิธีการเช่นนี้ เป็นวิธีการเก่าตามตำราแบบนี้ มีข้อจำกัด และข้อเสียหลายอย่าง เป็นต้นว่า การตั้งงบประมาณล่าช้า การเขียนโครงการไม่เหมาะสม ในกรณีที่จัดสรรเงินงบประมาณให้หน่วยงานจัดซื้อ หน่วยราชการก็รีบจัดซื้อ และซื้อของที่ไม่จำเป็น ส่วนโครงการก่อสร้างส่วนมาก ก็ไม่ถึงประชาชนเป้าหมาย ตกหล่นเบี้ยบ้ายรายทางเสียเป็นส่วนมาก การกระตุ้นเศรษฐกิจจึงไม่ได้ผล แล้วก็กลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เช่น กรณีการใช้เงิน 55,000 ล้านบาท จากการกู้ยืมจากกองทุนมิยาซาวา รวมทั้งการใช้จ่าย จากการขาดดุลงบประมาณแผ่นดิน ก็ไม่เกิดผล จ่ายออกไปแล้วหายไปเลย กลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

รัฐบาลนี้กระตุ้นการใช้จ่ายของครัวเรือน โดยใช้นโยบายการเงิน เป็นต้นว่า โครงการพักการชำระหนี้ของเกษตรกร โดยธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร โครงการธนาคารประชาชนโดยธนาคารออมสิน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการบ้านเอื้ออาทร ฯลฯ
โครงการเหล่านี้รัฐบาลไม่ได้ตั้งงบประมาณชดเชย แต่ใช้สถาบันการเงินของรัฐบาลปล่อย หรือยืดเวลาการชำระหนี้ ให้ในกรณีของ ธ.ก.ส.และ ให้สินเชื่อแก่กองทุนต่างๆ เพื่อดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเป็นวิธีใหม่ที่ไม่มีในตำรา ถ้าหากจะเสียหาย ก็ค่อยตั้งงบประมาณชดเชยในภายหลัง

วิธีการดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า ทำให้ชาวบ้านเสียนิสัย เป็นการเอารายได้ในอนาคตมาใช้ เป็นการสร้างหนี้ให้ครัวเรือนโดยเปล่าประโยชน์ เพราะชาวบ้านไม่ได้เอาไปลงทุน แต่เอาไปซื้อจักรยานยนต์ ซื้อรถปิกอัพ ซื้อโทรศัพท์มือถือ หรือเอาไปต่อเติมบ้าน ฯลฯ กลายเป็นนโยบาย "ประชานิยม" หรือ "populist policy" ผมเองเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็มีความรู้สึกเช่นนั้น แต่เมื่อมาพิจารณาอย่างถ่องแท้ ตอนนี้กลับเห็นด้วย เพราะการกระตุ้นโดยวิธีนี้ ดีกว่าวิธีเดิมๆ หลายอย่าง ที่สำคัญคือ เงินถึงครัวเรือนถึงประชาชนโดยตรง ไม่ตกหล่นเสียหายกลางทาง ประการที่สอง เป็นภาระกับงบประมาณ น้อยกว่าวิธีแรก ถ้ารัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณชดเชย ก็คงชดเชยเฉพาะส่วนที่เสียหายเท่านั้น ซึ่งคิดแล้วน้อยกว่าการจ่ายทำโครงการก่อสร้าง ที่ไม่สู้เป็นประโยชน์ และตกหล่นระหว่างทางเสียมาก

หนี้สินของครัวเรือนที่นักวิชาการว่าสูงขึ้น จะเป็นปัญหาอย่างมาก แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นปัญหาอย่างไร ความเห็นของผมก็คือ ก่อนที่จะมีเงินให้กู้ยืม ปัญหาเป็นของชาวบ้านที่อยากจะได้กู้ แต่เมื่อได้กู้แล้ว ปัญหาเป็นของผู้ให้กู้ ซึ่งก็คือสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งอาจจะเป็นภาระกับผู้เสียภาษี ถ้าเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว รายได้ของรัฐบาลไม่เข้าเป้า ก็จะเป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินอย่างยิ่ง ที่จะต้องตั้งงบประมาณชดเชย แต่ถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวรัฐบาลเกินดุลเงินสด อย่างในปีงบประมาณ 2526 ปัญหาก็หมดไป และเข้าใจว่าหนี้ที่เสียหายมีไม่มาก ปัญหาระดับมหภาคจึงไม่น่าจะมี หรือมีก็อยู่ในขีดที่จะจัดการได้ โดยไม่เสียหายในด้านวินัยการคลัง แต่ข้อดีมีมากกว่าคือ ได้ผลตามเป้าหมาย คือสามารถกระตุ้นการจับจ่าย ของครัวเรือนได้จริงจัง ซึ่งข้อนี้เป็นจุดเด่นของ "ทักษิโณมิค" แต่ข้างหน้าไม่ควรจะใช้อีก เพราะเป็นการเอาสถาบันการเงินของรัฐเข้าเสี่ยง หรือไม่ก็อาจจะเสียวินัยทางการคลัง ประกอบกับสถานการณ์ในขณะนั้นจนถึงเดี๋ยวนี้ ระบบการเงินยังล้นระบบ สภาพคล่องมีมาก ดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล อัตราเงินเฟ้อต่ำมาก และที่สำคัญดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมาก เงื่อนไขอย่างนี้ ในอนาคตคงไม่มี เป็นสถานการณ์ที่เฉพาะจริงๆ มีคนถามว่าควรจะแก้ตำราไหม ? ผมตอบว่าไม่ควร เพราะถ้าจะแก้ก็ต้องใส่เงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้ลงไปด้วยเงื่อนไขที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ข้างหน้าคงจะไม่มี

หลังจากเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นจากการจับจ่ายของครัวเรือน และเชื่อกันว่า ผลจากการกระจายทรัพยากรทางการเงิน ที่มีเหลือเฟือลงไปในระดับ "รากหญ้า" ก็พอดีกับการส่งออกไปประเทศจีน ญี่ปุ่น อาเซียน และภูมิภาคเอเชียขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ขยายตัวอย่างมาก อันเกิดจากปัญหาการเมือง และปัญหาการก่อการร้ายในบาหลี อินโดนีเซีย และประเทศจีนที่ผ่อนคลาย ให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจจีนดีมาก การเร่งขยายตลาดการส่งออก และการท่องเที่ยว โดยการทำสนธิสัญญาเขตเศรษฐกิจเสรีกับจีน อินเดีย และเริ่มเจรจากับอเมริกาและญี่ปุ่น ก็น่าจะเป็นตัวกระตุ้นการส่งออก ซึ่งเรื่องนี้เป็นรางอันที่สอง สำหรับนโยบาย "รางคู่" ของ "ทักษิโณมิค"

นโยบายสำคัญอันที่สองรองจากนโยบาย "รางคู่" แล้วก็คือนโยบาย "ทุนสำรองระหว่างประเทศ" กับ "นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน" ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่างจากนโยบายของรัฐบาลก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

รัฐบาลที่แล้วเห็นว่า เมื่อเราใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแล้ว ก็ควรให้อัตราแลกเปลี่ยนขึ้นลงเสรีตาม "กลไกตลาด" ผลก็คือเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐขึ้นลงปีละ 2 รอบ โดยประมาณต้นปีเงินบาท 44 บาท ผู้นำเข้าตาย ปลายปีเงินบาทมาอยู่ที่ 37 บาท ผู้ส่งออกตาย ตกลงสรุปว่าทั้งปีผู้ส่งออก และผู้นำเข้าตายหมด ไม่มีใครทำมาค้าขายได้ ดอกเบี้ยในประเทศไทยต่ำกว่าดอกเบี้ยต่างประเทศ เมื่อเงินบาทแข็ง ผู้คนก็เอาเงินออกไปไว้สิงคโปร์บ้าง ฮ่องกงบ้าง พอเงินบาทอ่อนก็เอาเข้ามา เอากำไรทุกปี โดยทางการไม่เคยรู้เรื่อง เป็นอย่างนี้อยู่ 3 ปี ตลอดเวลาที่รัฐบาลที่แล้ว บริหารประเทศ

พอเปลี่ยนรัฐบาล รัฐบาลก็เปลี่ยนตัวผู้ว่าการ ธปท.ใหม่ ผู้ว่าการคนใหม่ ก็จัดดอกเบี้ยให้ถูกต้อง พร้อมกับจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่ให้มากที่สุด แม้ว่าจะแข็งขึ้นก็ค่อยๆ แข็งขึ้น แต่ก็ไม่ให้ค่าเงินแข็งเกินไป และเร็วเกินไป ผู้คนจึงทำมาค้าขายได้ และปัจจัยสำคัญอันหนึ่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หรือเป็นสาระสำคัญอันที่สองของ "ทักษิโณมิค"

รัฐบาลที่แล้วมีความเห็นว่า เมื่อมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ทางการปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนขึ้นลงตาม "กลไกตลาด" ไม่ต้องเข้าไปจัดการทำอะไร ดังนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศก็มีความสำคัญน้อยลง จึงควรเอาเงินสำรอง ส่วนที่เกินความจำเป็น ในการเป็นทุนสำรองเงินตรา ในการออกธนบัตร เอาออกไปใช้หนี้ไอเอ็มเอฟเสีย โดยการรวมบัญชีทุนสำรองเงิน ตราของฝ่ายออกบัตร กับเงินทุนสำรองในบัญชีทุนสำรองของฝ่ายกิจการธนาคาร จนได้รับการคัดค้านจากผู้คน รวมทั้งพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป

รัฐบาลนี้เปลี่ยนนโยบาย โดยเน้นในการรักษา และเพิ่มทุนสำรองระหว่างประเทศ ธปท. หาเงินตราต่างประเทศ เอาไปชำระหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ก่อนกำหนดถึงสองปี ยกเลิกความคิดที่จะรวมบัญชี การที่เรามีทุนสำรองที่เข้มแข็ง ทำให้เครดิตของประเทศสูงขึ้น และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เอสแอนด์พี ทริสต์ และมูดี้ส์ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เพิ่มลำดับให้ประเทศไทย และให้น้ำหนักกับเรื่องทุนสำรองอย่างมาก

นโยบายที่สำคัญอีก 2-3 อย่าง ก็คือเร่งรัดเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งเป็นแม่เหล็กสำคัญ ที่ทำให้การลงทุนจากต่างประเทศ มาลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้ลงทุนหวังจะใช้ตลาดอาเซียนเป็นสำคัญ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐาน พร้อมกันนั้น รัฐบาลก็ต้องเร่งลงทุน ในระบบการอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน หรือ "infrastructure" เช่น ไฟฟ้า ขนส่งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทางด่วน ท่าเรือ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องต่อไป

ที่ถูกใจมากก็คือ มีความกล้าหาญประกาศว่า ประเทศไทยจะไม่รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศอีกต่อไป ซึ่งคงไม่มีรัฐบาลไหนกล้าประกาศ นอกจากจะสร้างความเชื่อมั่น เกียรติภูมิของประเทศแล้ว ยังเป็นการเปลี่ยนทัศนคติของหน่วยงานราชการของเราอีกด้วย เพราะความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ เช่น งานก่อสร้าง ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ก็กลับไปสู่ประเทศที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ดี นอกนั้นแล้วประเทศที่ให้มักจะทวงบุญคุณ หรือใช้เป็นเงื่อนไขข่มขู่เราอยู่เสมอ

คู่มือการดูแลสามี

รักผัวต้องหมั่นตบ ผัวสลบ เราตบซ้ำ

กลับดึกไม่ต้องถาม ไม้หน้าสาม หวดทันใด

ตีหนึ่ง...พึ่งถึงบ้าน แพ่นกบาล ให้หนำใจ

รักผัวไม่หวั่นไหว ซัดเข้าไป ไม่ยั้งมือ

หากผัวกลับบ้านดึก เตรียมเปิดศึก อย่ากลัวเกรง

รักผัวต้องข่มเหง ผัวเราเอง ใช่ผัวใคร

รักผัวต้องเข้มแข็ง กระหน่ำแข้ง ซัดเข้าไป

รักผัวต้องหลากหลาย ทั้งมีดไม้ ให้ครบมือ

รักผัวต้องหมั่นซ้อม โดดขึ้นคร่อม อย่าออมมือ

รักผัวต้องฝึกปรือ หมั่นซ้อมมือ ให้แม่นยำ

ผัวล้มเราเหยียบซ้ำ เอาให้หนำ ตายคามือ

ซ้อมผัวให้คนลือ ว่าเราคือ ยอดเมียไทย

มีผัวบ่นจู้จี้ ร่อนทัพพี ให้หน้าหงาย

มีผัวเอาแต่ใจ บีบคอให้ ตายไปเลย

ตีหัว…ผัวแหว่งวิ่น แอนตาซิล จ่ายทุกแผล

รักผัวต้องดูแล เพราะผัวแก่ ใกล้ลงโลง

ถ้าผัวแอบมีกิ๊ก ไม้ตีพริก ฟาดเข้าไป

กระทืบ…ผัวให้ตาย อย่าปล่อยไว้ ให้อายคน

รักผัวต้องอดทน ผัวเป็นคน ด้านกว่าใคร

โดนตบ จนหน้าหงาย ผัวยังไม่...สำนึกเลย

ผัวดีนั้นหายาก ต้องลำบาก ตรากตรำหา

รู้ไหมกว่าได้มา เหนื่อยเลือดตา แทบกระเด็น

รักผัวต้องใจเย็น เพราะผัวเป็น ของมีค่า

รักผัวต้องบูชา อย่าเที่ยวด่า ส่งเดชไป

ผัวด่า…เราต้องเงียบ ยกเจ๊เบียบ ให้ผัวไป

เผื่อฟลุ๊ค…ผัวช๊อคตาย หาผัวใหม่ สุขใจเอย